เรื่องที่ข้าพเจ้าคิดกล่าว..
เป็นเรื่องเมื่อครั้งความดีงามและความชั่วร้ายยังไม่แยกจากกัน
เวลานั้นนิยายปรัมปรายังเป็นเรื่องจริง
คำสาปแช่งยังคงความศักดิ์สิทธิ์เหมือนเปลวเพลิงที่ร้อนแรง
ดวงแสงแห่งสุริยะเทพหาได้แรงร้อนไปกว่าเพลิงแค้นในใจผู้คน
ที่นั่นจึงมีแต่ราตรีกาล เวลากลับเป็นเพียงสถานที่หนึ่งซึ่งเงียบสงัด
อบอวลด้วยหมอกควัน


เวลานั้นเป็นเวลาของพวกเขา
..
..
..
..
..
มวลหมอกเคลื่อนตัวคลุ้มคลั่ง
ยามนั้นไร้แผ่นดินแผ่นฟ้า
มีความมืดลึกล้ำเป็นหลุมดำขนาดใหญ่
มันส่งพลังดึงดูดที่รุนแรงราวกระสันสวาทแห่งเพศรส
เสมือนเหล่าบุรุษที่ไม่อาจฉุดรั้งต้านทานความเย้ายวนใจของโฉมงาม
มวลหมอกถูกดูดกรูเกลียวหมุนวนเข้าไปอย่างไม่มีสิ้นสุด

ศิลามหึมาก้อนหนึ่งลอยละลิ่วมา
เป็นก้อนศิลาที่ทั้งขรุขระทั้งไม่ได้รูปทรง
ก้อนศิลาถูกมัดด้วยโซ่เส้นใหญ่โดยรอบ
ศิลาย่อมเป็นศิลา ศิลาก้อนหนึ่งทำความผิดอันใด
ไยจึงต้องถูกล่ามด้วยโซ่อย่างแน่นหนาเช่นนั้น?

ก้อนศิลาที่ละลิ่วมาถูกแบกไว้ด้วยคนผู้หนึ่ง
ใบหน้ามันเขียวเรืองดวงตาแดงเป็นประกาย
ผมสีทะเลทรายสยายพัดพลิ้ว
มันรับงานนี้ด้วยความลำบากยากใจไม่อาจปฏิเสธ
เพราะมีแต่มันจึงสามารถเข้าใกล้หลุมดำมากสุด
แต่การอยู่ใกล้คนผู้นี้หาใช่เรื่องที่มันทานทนได้
มันเม้มริมฝีปากเก็บถ้อยคำไว้ตลอดเส้นทางที่มา

พลันมีเสียงดังก้องจากก้อนศิลา
"ถึงแล้วกระมัง?"
ศิลาไหนเลยสามารถเอ่ยวาจา
ไหนเลยกระทำความผิดให้ผู้คนจับล่ามโซ่
ที่แท้มีคนถูกมัดไว้ มันถูกตรึงกับโซ่ที่ยึดแน่นลงในเนื้อศิลา
ผมสีทองของมันฟูฟ่องกระเซอะกระเซิงเสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่สามารถเรียกเสื้อผ้า
เป็นคล้ายเศษผ้าขี้ริ้วเปื่อยขาดรุ่งริ่ง
ทั่วทั้งร่างแกร่งกล้ามเนื้อกลับเต็มด้วยริ้วรอยบาดแผล

ผู้แบกศิลาหาได้เอ่ยวาจาโต้ตอบ มันมุ่งมองไปเบื้องหน้า
หลุมดำส่งแรงดึงดูดชักชวนยวนใจให้เข้าไปหา
มันหยุดร่างเกร็งลมปราณตระเตรียมส่งทั้งคนทั้งก้อนศิลาเข้าไปในโพลงลึกล้ำดำมืดนั่น

เสียงจากก้อนศิลากล่าวขึ้นอีก
"ภูตส่งวิญญาณขอบใจเจ้าที่นำเรามาส่ง"
กล่าวจบคอยฟังเมื่อไม่ได้ยินเสียงโต้ตอบมันกล่าวสืบไป
"ไหน ๆ เจ้าตอบแทนบุญคุณที่เราชุบเลี้ยงด้วยส่งเราไปยังในหลุมดำ
เราเพียงอยากขอร้องเจ้าสักเรื่องเป็นครั้งสุดท้าย"

ประกายตาแดงเรื่อของภูตส่งวิญญาณสั่นสะท้าน มันสะกดกลั้นความพลุ่งพล่าน
ขบริมฝีปากจนโลหิตไหลซึม เสียงจากก้อนศิลากล่าวอีกว่า

"ภูตส่งวิญญาณหนอภูตส่งวิญญาณ เราเลี้ยงเจ้ามาแต่เล็กมีหรือไม่รู้ซึ้งถึงจิตใจเจ้า
เจ้าหาได้คิดร้ายต่อเรา ที่กระทำไปด้วยความจำเป็นบีบคั้น เราไม่เคยคิดแค้นเจ้า"

ภูตส่งวิญญาณขมวดคิ้วแนบแน่น ยินเสียงก้องจากก้อนศิลา
"ยังจำตอนที่เจ้าอยากเล่นตุ๊กตาได้ไหม เราเป็นคนหาไม้มาแกะเป็นตุ๊กตาให้เจ้า
เจ้าร้องไห้ตกใจตอนทำแขนตุ๊กตาหัก ใครเป็นคนปลอบโยนช่วยต่อแขนตุ๊กตาให้เจ้า
ยังมีวันหนึ่งเจ้าโดนเด็กอันธพาลทุบตีเป็นผู้ใดขับไล่พวกมันพาเจ้ามาทายารักษาบาดแผล
ยังมี..."

"ท่านไม่ต้องกล่าวแล้ว!!" เสียงภูตส่งวิญญาณสะท้อนไปในความเวิ้งว้าง ริมฝีปากระริก
ประกายตาแตกซ่าน ร่างกายของมันสั่นสะท้านไม่อาจสะกดอดกลั้น

"ภูตส่งวิญญาณหนอภูตส่งวิญญาณ..."
"ข้าพเจ้าบอกว่าไม่ต้องกล่าว!!"
"เราเพียงคิดขอร้องเจ้าประการเดียว จากนั้นเจ้าจะไม่ได้ยินเสียงเราอีกตลอดกาลนาน"
"อย่าได้คิดขอให้ข้าพเจ้าละเว้นท่าน ส่งท่านไปยังหลุมดำเกี่ยวพันกับความสงบสุขของ
เอกภพท่านจะอย่างไรยังคงต้องไปที่นั่น!"

"เรารู้ว่าเจ้าลำบากใจ หลังปลดปล่อยเราไปเรารับปากจะไม่กลับคืนเอกภพตลอดกาลนาน"
"ท่านไม่ต้องกล่าวแล้ว!" ภูตส่งวิญญาณระเบิดเสียงดังลั่น มันขับเคลื่อนพลังลมปราณ
ไปยังฝ่ามือจนเกิดวงแสงเจิดจ้าตระเตรียมส่งก้อนศิลาไปยังหลุมดำ

"เราเมื่อไม่มีทางรอดแน่แล้ว หวังเจ้าจะเห็นแก่วันเวลาที่ชุบเลี้ยงตอบเราเรื่องหนึ่ง"
"ได้ท่านถาม?"
"เป็นผู้ใดที่วางแผนหักหลังเรา?"
"ข้าพเจ้าไม่มีวันขายพวกเขา"
"เราไม่มีหนทางรอดแล้วเจ้ายังกังวลอันใด?"
ภูตส่งวิญญาณครุ่นคิดชั่วครู่ค่อยกล่าววาจา
"เป็นอสุนีตลบฟ้า เกาทัณฑ์พยายม จิ้งจอกฟ้า กวนอิมพันหน้า"
"ฮา ฮา ฮา...." เป็นเสียงหัวร่อที่แฝงความเจ็บช้ำรันทด
ท่านหากทุ่มเทความรักไว้เนื้อเชื่อใจความปราถนาดีทั้งมวลให้คนผู้หนึ่ง
แล้ววันหนึ่งได้รับมีดปักที่กลางหลังท่านหนึ่งมีดจากคนผู้นั้น
เป็นท่าน ท่านจะหัวร่อด้วยน้ำเสียงเช่นไร?

"ฮา ฮา ฮา ..." เสียงหัวร่อนั่นทอดยาวนานจนเหมือนชั่วนิรันดร์
ดวงตาคนผู้นั้นแดงก่ำ ผมสีทองที่กระเซอะกระเซิงชี้ตั้ง
เป็นความพลุ่นพล่านสุดบรรยาย มันกล่าวด้วยน้ำเสียงสิ้นอาลัย

"ภูตส่งวิญญาณเจ้าทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงเถิด"
ภูตส่งวิญญาณริมฝีปากสั่นสะท้านกล่าวคำ "อภัยด้วย!" จากนั้นเกร็งลมปราณ
ซัดศิลามหึมาออกไป

ก้อนศิลาปลิวคว้างตรงไปยังความเวิ้งว่างล้ำลึกของหลุมดำอย่างรวดเร็ว
ภูตส่งวิญญาณแขวนร่างนิ่งเหม่อมองด้วยแววตาสะทกสะท้อน
ม่านหมอกเคลื่อนคลุมขอบตา

มันไหนเลยหลงลืมตุ๊กตาตัวที่ห้อยติดตัวตลอดมา
มันไหนเลยไม่จดจำรสชาติปวดแสบของยาสมานแผล
วันเวลาเหล่านั้นย่อมเป็นวันเวลาที่ดียิ่ง
มันคิดหวังให้วันเวลาเช่นนั้นดำรงคงอยู่ชั่วกาลนาน
แต่เรื่องราวในโลกหล้าไหนเลยเป็นไปดังใจปรารถนา

ภูตส่งวิญญาณเหม่อมองศิลาที่ยามนี้ขนาดเท่าก้อนกรวด
ปลิวคว้างห่างไกลออกไปขณะได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง

"เชาน้อย"
นั่นเป็นนามของมันครั้งเยาว์วัย ภูตส่งวิญญาณดวงตาเบิกกว้าง
มีคนผู้เดียวในโลกหล้าที่เรียกมันเช่นนี้ มันหันขวับกลับมา
เร็วพอได้เห็นฝ่ามือเป็นร้อยพันที่ระดมซัดร่างมัน

ดวงตาภูตส่งวิญญาณเบิกค้างขณะร่างลอยคว้างตามก้อนศิลาไปในโพลงมืดไร้ที่สิ้นสุด
คนผู้นั้นกล่าวซ้ำถ้อยคำที่มันไม่ยินยอมเชื่อถือ
"ข้ารับปาก เจ้าจะไม่ได้ยินเสียงข้าอีกตลอกกาลนาน"
..
..
..
..
..
เรื่องที่ข้าพเจ้าคิดกล่าวเป็นเรื่องเช่นนี้
เรื่องที่ความดีงามและความชั่วร้ายยังไม่แยกจากกัน
เวลานั้นนิยายปรัมปรายังเป็นเรื่องจริง
คำสาปแช่งยังคงความศักดิ์สิทธิ์เหมือนเปลวเพลิงที่ร้อนแรง
ดวงแสงแห่งสุริยะเทพหาได้แรงร้อนไปกว่าเพลิงแค้นในใจผู้คน
ที่นั่นจึงมีแต่ราตรีกาล เวลากลับเป็นเพียงสถานที่หนึ่งซึ่งเงียบสงัด
อบอวลด้วยหมอกควัน
..
..
.. k r a t o m t u l e e Din : My Writing Life,











































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น