ห้องพักหมายเลข 510: สายฝนริมระเบียง (สายลม)
เมฆทะมึนตั้งเค้ามาร่วมสองชั่วโมง สายลมกรรโชกถี่ขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป ฉันผละจากหน้าจอคอมพ์มายืนริมระเบียงเมื่อได้ยินเสียงสังกะสีจากอาคารฝั่งตรงข้ามสะบัดตัวกระแทกกระทั้นเรียกร้องความสนใจอยู่ในสายลมหวีดหวิว
ทันทีที่ออกมายืนตรงริมระเบียง สายลมพัดมาปะทะผิวหน้าให้ความรู้สึกเย็นสบาย ผ่อนคลายอย่างประหลาด แรงลมทำให้เส้นผมที่ระอยู่ตามลำคอปลิวไปกระจายล้อลมอยู่เบื้องหลัง ฉันรู้สึกเหมือนตนเป็นนางเอกเอ็มวีของเพลงอะไรสักเพลง
Comment : ไม่แน่ใจว่า 'ปลิว' ซึ่งแปลว่า ลอยตามลม (พจน์ฯ ฉบับราชฯ) จะหมายถึงอาการปลิวที่หลุดลอย และรวมทั้งพลิ้วสะบัดที่ยังติดกับขั้วหรือไม่? ขอท่านลองคิดถึงคำใบไม้ปลิว ไม่ทราบท่านคิดว่าใบไม้นั่นยังติดอยู่กับขั้วหรือหลุดลอย?
ระดับความสูงชั้น 5 ของระเบียงที่ฉันยืนอยู่ทำให้มองเห็นหลังคาอาคารรายล้อมซึ่งส่วนใหญ่มีความ สูงแค่ 3-4 ชั้น เสาอากาศรับสัญญาณโทรทัศน์และเคเบิลต่างๆ เอนไหวไปมาดูน่ากลัวว่าจะปลิวตามลมไปไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่ง (ตานี้ 'ปลิว' ที่หลุดลอยแน่ ๆ)
ต้นไม้ทั้งจากระเบียงที่ฉันยืนและบนดาดฟ้าฝั่งตรงข้ามต่างโยกส่ายในสายลมราว นักเต้นระบำเท้าไฟในงานรื่นเริง เย้าแหย่และ(หยอก)ยั่วเย้า สร้างความหฤหรรษ์ให้กับผู้เฝ้าชม
Comment : เข้าใจว่าเจตนาเล่นอักษร 'ย' แต่คำ 'เย้า' ถูกใช้แล้ว หากใช้ซ้ำผู้อ่านจะเข้าใจไปว่าคลังคำขาดเสบียง ลองเลี่ยงใช้คำอื่นเป็นไง?
สำหรับวรรคตอนคงต้องละเสียแล้วกับข้อความบนเน็ตยุคที่ยังพัฒนาไม่เสร็จนี้ copy จากต้นฉบับที่วรรคตอนสวยงามดีแท้ ยังกลายเป็นเช่นนี้ไปได้...หลังจากนี้เราจะแกล้งทำเป็นลืม ๆ วรรคตอนเสียนะทั่นนะ!
ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆสีเทาทะมึน มีจุด(ดำ)เล็กๆ สีดำนับสิบจุดให้สังเกตเห็นเคลื่อนตัวไปมาดูเพลินตา จุดสีดำเล็กๆ เหล่านั้น(พวกมัน)คือฝูงนกที่อาศัยแฝงกายหาเศษอาหารกินอยู่ในตลาดกลางซึ่งเป็นตลาด ใหญ่ของชุมชน ฉันเคยเห็นพวกมันเกาะบนสายไฟระโยงระยางบน(เหนือ)ฟุตบาทของถนนใหญ่นับร้อยตัว บัดนี้มันกำลังแหวกว่ายฟ้าไม่หวั่นแรงลมที่โหมกระหน่ำ(แรง)ขึ้นทุกขณะ ฉุดให้ความคิดฉันล่องลอยไปสู่ห้วงวัยเยาว์
Comment : ขอให้ทบทวนประโยคต้นวรรค ของเดิมคือรูปแบบภาษาฟุ่มเฟีอย เป็นธรรมดาของนักหัดเขียนที่อยู่ระหว่างฝึกแปรสัญญาณไฟฟ้าในสมองเป็นสัญญาณอักขระ ต้องผ่านหลักกิโลอักษรนี้ เมื่อจัดรูปคำเสียใหม่ จะได้ประโยคกระชับ แต่ละคำในประโยคจึงจะเปล่งพลังออกมา
ข้อสังเกต : หากบอกสีตรง ๆ เช่น สีแดง สีน้ำตาล สีดำ ผู้อ่านจะเพียงเห็นสีเหมือนรอยป้ายบาง ๆ แต่หากบอกว่า สีเลือดนก สีเปลือกมังคุด สีถ่าน อณูเนื้อสีจะซึมซับเข้าในมโนนึก นักเขียนที่ผ่านหลักกิโลฝึกหัด จะเลือกใช้วิธีหลัง
'บน' กับ 'เหนือ' ประเด็นนี้เคยคุยแล้ว หากท่านยังใช้ซ้ำ ถือเป็นเข้าใจตรงกันว่าท่านไม่เห็นด้วย จักปล่อยผ่านหากปะอีก (งอนแระ!)
ครั้งหนึ่ง ในวันที่ท้องฟ้าทะมึนด้วยเมฆฝน นกน้อยฝูงหนึ่งบินข้ามฟ้ากลับไปยังรวงรังของตน ในยามเฝ้ามองพวกมันบินลับตาไปนั้นฉันเคยนึกสงสัยว่ารวงรังของนกน้อยเหล่า นั้นอยู่ ณ แห่งใดกัน บัดนี้นกน้อยนับสิบที่ว่ายฟ้าอยู่เบื้องหน้าทำให้ฉันกลับสงสัยว่า ท่ามกลางเมืองใหญ่ที่มีตึกสูงระฟ้าอย่างนี้ พวกมันมีรวงรังให้ซุกกายอิงอุ่นกันบ้างหรือเปล่าหนอ?
Comment : ย่อหน้านี้อยู่ผิดที่!
ปิดย่อหน้าก่อนด้วยนึกถึงวัยเยาว์ เท่ากับบอกผู้อ่านว่าจะตัดฉาก ควรนำไปแทรกไว้ในย่อหน้าก่อน
สายฝนเริ่มพรำเม็ด สายลมพัดพาสาย(ละออง)ฝนมาแตะแต้มผิวกาย ฉันยังคงยืนเกาะราวระเบียงไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ห้วงคิดวัยเยาว์ยังฉุดดึงฉันไว้ ภาพเด็กหญิงคนหนึ่งที่ไร้เสื้อมีเพียงสวมกางเกงขาสั้นปอนๆ วิ่งเล่นน้ำฝนยังคงแจ่มกระจ่างลบเลือนภาพอื่นเบื้องหน้าเสียสิ้น
Comment : ท่านพลาดตรงนี้!
การเล่าปูทางในย่อหน้าต้น ๆ นำสู่ภาพทรงจำวัยเยาว์ หากยังเล่าด้วยความเป็น 'ฉัน' ซึ่งเป็นผู้ใหญ่แม้จะให้อารมณ์ต่อเนื่องแต่จะได้ภาพที่แบน หากตัดฉาก แล้วเล่าด้วยสำเนียง, ความรู้สึกนึกคิดของเด็กน้อย จะเกิดมิติ เกิดความลึกเหลื่อมซ้อนของอารมณ์เรื่องซึ่งเป็นไฮไลท์ของความเรียงชิ้นนี้
คำซ้ำ : ความสวยงามของรูปประโยค อยู่ที่ใช้คำได้หลากหลาย ข้าพเจ้าเลี่ยงคำซ้ำในประโยคเดียว หรือประโยคใกล้เคียง
สองกลเม็ดข้างต้น เป็นอักขระปฏิบัติอันผู้น้อยวิเคราะห์จากศึกษางานเขียนท่านผู้เลิศรจนาการ (โดยเฉพาะข้อหลัง เจ็ดเล่มของผู้ชนะสิบทิศ บอกอย่างนี้..แน่นอน) ข้อความสองบรรทัดนั้น เป็นข้อปฏิบัติของข้าพเจ้าเอง ขอท่านพึงเก็บไว้เป็นความลับยิ่งยวด หากมิปะผู้รักชอบทางอักขระเที่ยงแท้อย่าพึงบอกกล่าวออกไป มิฉะนั้นจะไม่ต่างยื่นพลอยให้ไก่
เสียงฟ้าร้องครืนๆ มิได้ทำให้เด็กน้อยหวั่นเกรงใดๆ ยังคงแหงนหน้ารับน้ำฝนวิ่งโร่ไปมาไล่จับเพื่อนวัยไล่เลี่ยกันอย่างไม่อนาทร ใดๆ บางครั้งล้มลุกคลุกโคลนตมแล้วหยัดกายขึ้นยืนหัวเราะร่าก่อนจะวิ่งไปฉุดให้ เพื่อนล้มบ้าง จนเมื่อฝนซาเม็ดแล้วนั่นแหละจึงได้แยกย้ายกันกลับบ้าน
Comment : หากบรรยายฉาก เสียงฝน เสียงตะโกน ท่าทาง เสียงหัวเราะ อาการที่ไม่หวั่นเกรงเสียงฟ้าของเด็ก ๆ แทนการเล่าผ่าน ความเรียงชิ้นนี้จะเปลี่ยนจากบทบันทึก เป็น 'งานเขียน' ขอให้ระลึกอยู่เสมอ 'อย่ากล่าว จงแสดง'
เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เด็กน้อยเหล่านั้นไม่มีใครจับไข้สักคนเมื่อกิจกรรมมหาสนุกผ่านพ้น
สายฝนพรำเม็ดหนักขึ้นละอองฝนล้อมอยู่รอบกาย ดนตรีสาย(เพลง)ฝนให้ความไพเราะเพราะพริ้งทุกครั้งที่ได้ฟัง ฉันยังคงยืนเกาะราวระเบียงมองดูเม็ดฝนร่วงหล่น ความเย็นฉ่ำที่ปะทะผิวหน้าทำให้เสื้อผ้าเริ่มเปียกปอน
ไม่ได้วิ่งเล่นน้ำฝนเหมือนก่อน ได้ยืนตากฝนให้ตัวเปียกก็ได้ความรู้สึกดีไปอีกอย่าง
Comment : ไม่ต้องบอกว่าให้ความรู้สึกที่ดี เพียงแสดงให้เห็นว่าเปียกปอน แสดงอย่างไรก็ได้ให้ผู้อ่านรับความรู้สึกดี ไม่ว่าจะเป็นเงยให้เข็มฝนจั๊กใบหน้าแล้วยิ้มกว้างรับรสฝนที่ริมฝีปาก หรือกางแขนรับสัมผัสฝนบนท้องแขนและฝ่ามือ (หากจะให้ติดตลก (ตามอุปนิสัยเรา ๆ) ก็ต้องมีจามสักที แล้วจบ!)
ตรงประโยคปิดท้ายอาจเป็นจุดติดค้างว่ายังกล่าวไม่หมดใจ ขอให้ระลึกเสมอ 'อย่ากล่าว จงแสดง'
หมายเหตุ : เช่นเดิม ทั้งหมดเป็นหางอึ่งกุด ๆ ผู้น้อยเองหาได้เชื่อถือว่าถูกต้องไปเสียทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นเพียงแลกรสของผู้มอบใจแล้วซึ่งรักแห่งอักขระรจนาการ (รอคอยซี่รี่ส์ตอนต่อไป ด้วยระทึกในดวงหทัยพลัน)
คืนค่ำกรำงานสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านดินที่เคารพรัก
ตอบลบก่อนอื่นต้องขอบพระคุณเป็นอย่างสูงสำหรับคอมเม้นท์มากมายที่ใช้สายตาพญาเหยี่ยวควานหาให้ พร้อมทั้งคำชี้แนะ ตักเตือน ทักท้วง และเคล็ดวิชาลับสุดยอดที่แอบกระซิบกระซาบให้ข้าเจ้าได้รับรู้(หากแม้นว่าข้าเจ้าหมั่นฝึกปรือฝีมือตามกระบวนยุทธ์ที่ท่านถ่ายทอดมา มิช้ามินานคงได้เป็นหนึ่งในใต้หล้า.....สักวันเถิด.....สักวัน..!)
๑. มาเริ่มว่าด้วยคำ ‘ปลิว’ ขออนุญาตท้าวความไปถึงตอนเขียน ข้าเจ้าเขียนใส่สมุด(สะดวกดีนั่งนอนเขียนได้สารพันท่า) เสร็จปุ๊บก็พิมพ์ลงคอมพ์ปั๊บ อย่างที่ท่านเคยแนะนำ นึกอยากเขียนอะไรเขียนไปก่อนไม่ต้องสนใจสำบัดสำนวนข้าเจ้าก็ทำตามนั้น ต่อเมื่อพิมพ์ลงคอมพ์นั่นแหละถึงได้ตัดโน่นเติมนี่ อะไรพอคงไว้ได้ อะไรสมควรปรับเปลี่ยน(นั่งทำได้ก๊อกๆ แก๊กๆ ตามประสาอ่ะนะ ผลก็ออกมาอย่างที่เห็นนี่แหละ)
กลับมาที่คำ ‘ปลิว’ ตอนทวนอ่านขณะพิมพ์ข้าเจ้าก็สะดุดตัวนี้เหมือนกัน ยังคิดอยู่เลย เจอะคำนี้เข้าจะมีนักอ่านคนไหนคิดว่าหนังหัวข้าเจ้าปลิวลอยลมไปบ้างนะ แต่เพราะไม่แน่ใจว่าบางทีอาจหยวนๆ ใช้ได้โดยไม่มีใครคิดอะไรมากมาย หรืออาจบางทีจะหยวนหรือไม่หยวนท่านอาจให้คำตอบข้าเจ้าได้ (และก็ไม่ผิดหวัง -ทักมาแบบนี้เห็นควรตัดบัวไม่ให้เหลือใย)
๒. ‘เย้าแหย่และยั่วเย้า’ หาได้ต้องการเล่นคำ และหาได้คิดถึงคำซ้ำคำซ้อน หรือคำอื่นใดมาแทนที่ นึกคำนี้ขึ้นมาได้ปุ๊บก็เขียนลงไปปั๊บ อ่านแล้วเหมือนมันจะให้ความรู้สึกที่น่ารักดี เลยมองข้ามรายละเอียดอื่นๆ เสียสิ้นแม้ตอนคีย์ก็หาได้สนใจ(ต่อไปจะระวังให้มากขึ้นเจ้าค่ะ)
เรื่องวรรคตอนนี่ประชดกันหรือเปล่าทั่น ทำไมข้าเจ้ารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ(เอ่..หรือจะเพราะตากฝนเมื่อวานก่อน) ยอมรับโดยดุษฎีว่าเรื่องวรรคตอนนี่ข้าเจ้าก็คงต้องเรียนรู้กันอีกนาน.....แสนนาน......
๓. ขอบคุณข้อชี้แนะเรื่องการใช้คำและข้อสังเกต ได้ประโยชน์มากมายมหาศาล
‘บน’ กับ ‘เหนือ’ ตักเตือนมาสามรอบแต่สมองกลวงๆ หาได้จดจำ ขอเบิร์ดกะโหลกตัวเองสามรอบตามจำนวนครั้งที่ตักเตือนเป็นการไถ่ถอนความผิดเจ้าค่ะ
(อย่างอนเลยนา...นะ... ก็เคยบอกไปหลายครั้งแล้ว ข้าเจ้าขี้ลืมหรือบางทีอาจเป็นความเคยชิน เจออีกก็เตือนอีกนะทั่น อย่าเลิกเตือน เตือนแล้วเตือนอีก เตือนอีกเตือนแล้ว เตือนๆๆๆๆๆ เตือนกันจนข้าเจ้าจำได้ขึ้นใจ หรือไม่ก็เลิกเขียนไปเลย)
๔. ‘ครั้งหนึ่ง ในวันที่ท้องฟ้าทะมึนด้วยเมฆฝน นกน้อยฝูงหนึ่งบินข้ามฟ้ากลับไปยังรวงรังของตน ในยามเฝ้ามองพวกมันบินลับตาไปนั้นฉันเคยนึกสงสัยว่ารวงรังของนกน้อยเหล่า นั้นอยู่ ณ แห่งใดกัน’
ข้อความเนี้ยะย้อนความคิดสู่อดีต ท่านไม่รู้สึกว่าข้าเจ้าพาท่านกลับอดีตบ้างหรือ ?? แหง่วววว..!! หมดกัลล์
๕. สุดยอดเคล็ดวิชาปรมาจารย์ตั๊กม้อมาเอง ขอคำนับสามโป๊กคารวะพระอาจารย์ กระบวนยุทธ์ท่านช่างล้ำลึกนัก เห็นทีศิษย์ต้องฝึกฝนกันจนยักแย่ยักยันกว่าจะสำเร็จเคล็ดวิชาหอบกระบวนท่าออกไปเริงร่าในยุทธภพได้
ฮึ่ม! ไม่เป็นไร นานแค่ไหนก็จะฝึก! จะฝึก! จะฝึก! ต่อให้ธาตุไฟแทรกอกแตกตายก่อนจะสำเร็จเป็นยอดยุทธ์ก็จาาาาาาฝึก!
๖. ‘หากบรรยายฉาก เสียงฝน เสียงตะโกน ท่าทาง เสียงหัวเราะ อาการที่ไม่หวั่นเกรงเสียงฟ้าของเด็ก ๆ แทนการเล่าผ่าน ความเรียงชิ้นนี้จะเปลี่ยนจากบทบันทึก เป็น 'งานเขียน' ขอให้ระลึกอยู่เสมอ 'อย่ากล่าว จงแสดง'’
พูดเหมือนง่ายเลยแฮะ! เชื่อไหม? ทั้งๆ นั่งในห้องแอร์แต่ข้าเจ้าปาดเหงื่อมาหลายรอบแล้ว
๗. ‘ไม่ต้องบอกว่าให้ความรู้สึกที่ดี เพียงแสดงให้เห็นว่าเปียกปอน แสดงอย่างไรก็ได้ให้ผู้อ่านรับความรู้สึกดี ไม่ว่าจะเป็นเงยให้เข็มฝนจั๊กใบหน้าแล้วยิ้มกว้างรับรสฝนที่ริมฝีปาก หรือกางแขนรับสัมผัสฝนบนท้องแขนและฝ่ามือ’
รับแซ่บเจ้าค่ะ ‘แสดง’ หาใช่ ‘บอกกล่าว’
ซีรี่ส์ตอนต่อมีหวังข้าเจ้าได้กระอักเลือดแน่กว่าจะเขียนจบ ก็โดนท่านเขกกะโหลกมาสามตอนแล้ว เอาเห่ยมาอีกเกรงท่านจะสะบัดตูดใส่พร้อมทำปากขมุบขมิบ
“อีนี่’ไมมันโง่งี้วะ สอนไม่รู้จักจำ เบื๊อกจริงๆ”
แวะเข้าไปดูฝากความที่กระทู้มา งานเข้าแล้วเจ้าค่ะ‘ท่านสามจุด’มาทิ้งคำถามไว้
‘อันนี้เป็นบันทึก ความเรียง หรือเรื่องสั้นขอรับ’
จะให้ตอบได้ยังไงคนเขียนเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าไอ้ที่เขียนๆ ไปนั่นเขาเรียกว่าอะไร เหอะๆ
ที่ท่านซ่อมให้นี่หาได้เอื้อประโยชน์โภชผลน้อยเลยเจ้าค่ะ หากแต่จักก่อประโยชน์ให้ข้าเจ้าได้มากมายมหาศาลเหลือคณานัป เอื้ออารีที่ท่านมีเมตตามอบให้ไม่รู้จะตอบแทนกันยังไงสิ้น..........คงมีสักวันที่ข้าเจ้าจะได้ตอบแทน
คารวะ
ปล.มื้อเที่ยงหม่ำแกงพุงปลาเหมือนกัลล์ ร้านเจ้าประจำอร่อยเหาะ ^_^