ห้องพักหมายเลข 510: ผจญภัยในม่านฝน
By : สายลม
นาฬิกาบนฝาผนังบอกเวลาทุ่มยี่สิบนาที ฉันเซฟงาน ปิดโปรแกรมเวิร์ด ชัตดาวน์เครื่องคอมพิวเตอร์ ลุกขึ้นแต่งองค์ทรงเครื่อง ความจริงก็ไม่มีอะไรมากนอกจากหวีผมที่รุงรังให้เข้าที่เข้าทาง ปัดแป้งฝุ่นให้แก้มผ่องเสียหน่อย เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จพิธี คว้าสตางค์พร้อมกุญแจห้องได้ เดินออกจากห้องไม่ลืมล็อกกุญแจเป็นที่เรียบร้อย
Comment : 'คว้าสตางค์..' ที่ท่านจินนี่เองจ้ากรุณาทักท้วง สำหรับข้าพเจ้ายังโอเช
ขณะลิฟต์เคลื่อนตัวลงสู่ชั้นล่าง ฉันครุ่นคิด ‘มื้อค่ำวันนี้จะกินอะไรดี?’ สมองตั้งคำถามพร้อมกันนั้นก็นำเสนอภาพแจ่มกระจ่างในห้วงคิดมาเป็นคำตอบ
ประตูลิฟต์เปิดออกมีหญิงสาวร่างท้วมรอใช้บริการอยู่หน้าลิฟต์เพียงคนเดียว ฉันก้าวเท้าออกจากประตูเดินทอดขาเอื่อยๆออกนอกอาคารจุดหมายปลายทางคือตลาดกลางซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอพาร์ตเม้นต์มากนัก ระหว่างทางเดินสัมผัสได้ถึงสายลมที่พัดมาเป็นระยะ หนักหน่วงกว่าปกติ บอกให้รู้ว่าฝนคงตกลงมาในไม่ช้า
Comment : '..ทอดขาเอื่อย ๆ ..' ตามที่ท่านจินนี่ทัก ทำเอาข้าพเจ้าอึ้ง เป็นอึ่งอ่างคออักเสบ ไม่รู้สิ ผู้เขียนอาจหิวมากจนเผลอคิดถึงขาไก่ทอดก็เป็นได้ (แฮ่) เอาเป็นว่า..ตามความเห็นข้าพเจ้า..ยังงง ๆ ไม่รู้เอาไงดี (อืมม์..เดินทอดขาเอื่อย ๆ ใช้ได้เปล่าหนอ..เห็นทีต้องรบกวนศิษย์พี่ ท่านประทีปะเสียแล้ว)
'..สัมผัสได้ถึง..' กลวิธีกล่าวเช่นนี้อาจเป็นสำนวนจำเพาะของท่าน หากรักชอบแลใช้โดยเจตนาเห็นทีผู้น้อยมิหาญแตะ แต่หากกล่าวเป็น 'ระหว่างทางมีสายลมพัดมาเป็นระยะ' จะกระชับกว่าไหม ขอท่านพิจารณา
หน้าตลาดร้านอาหารต่างๆ คับคั่งไปด้วยลูกค้าไม่เว้นแม้แต่ร้านข้าวต้มปลา มื้อค่ำที่ผุดขึ้นในจินตนาการ โต๊ะนับสิบที่ตั้งเรียงรายไว้บริการถูกจับจองครบทุกโต๊ะ บวกด้วยลูกค้าที่ยืนรอสั่งกลับไปทานที่บ้านอีกนับสิบราย เห็นดังนั้นฉันจึงไซด์โค้งหักพวงมาลัยออกนอกเส้นทาง เดินเข้าไปในตัวตลาดมองหาผลไม้หวังซื้อติดมือกลับไปทานที่ห้องสักอย่าง สองอย่าง
Comment : งงว่าภาพอะไรผุดในจินตนาการ เลยขีดเสียเลย (เผื่อหายงง)
แรงลมหนัก(ลมแรง)ขึ้นเรื่อยๆ พ่อค้าแม่ขายสาละวนกางร่มผ้าใบ บ้างที่ขายเสื้อผ้า รองเท้า หรือพวกของใช้กระจุกกระจิก ก็รีบเก็บของดูวุ่นวายอลหม่าน ฉันเดินตั้งแต่หน้าตลาดยันท้ายตลาดและวกกลับมาหน้าตลาดอีกรอบ ในมือทั้งสองข้างยังว่างเปล่าสตางค์ในกระเป๋าอยู่ครบทุกบาท
สายลมกรรโชกจนร่มผ้าใบที่กางโดยทั่วไปไหวพะเยิบพะยาบ ดูน่ากลัวว่าจะล้มลงมาฟาดหัวใครเข้าสักคน ฉันยืนคว้างหมุนซ้ายขวาตัดสินใจไม่ถูกว่าจะหาอะไรประทังเป็นมื้อค่ำดี หมุนครบหนึ่งรอบร้านมะพร้าวน้ำหอมก็เข้ามาอยู่ในสายตา
Comment : 'ลมกรรโชก' ข้าพเจ้ายืนยันว่าใช้ได้ (ความหมายเดียวกับ กระโชก) ประสาคอกำลังภายในน่ะทั่น ใช้บ่อย..ใช้บ่อย..
ฉันเดินกลับไปร้านข้าวต้มปลาอีกครั้ง มีมะพร้าวน้ำหอมในมือพร้อมด้วยหลอดเสียบพร้อมดูด ร้านข้าวต้มปลามีลูกค้าเหลืออยู่เพียงสองสามโต๊ะ ไฟดวงกลมที่เปิดสว่างอยู่ก่อนหน้านี้ดับสนิท ลูกค้าสองสามโต๊ะที่เหลือคงอาศัยแสงสว่างจากร้านข้างๆ ตักข้าวต้มเข้าปาก ฉันเดินเลยไปยังร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำร้านเจ้าประจำอีกร้านที่ฉันมักมากิน บ่อยๆ ชั่งใจอยู่ว่าจะสั่งกลับไปกินที่ห้องหรือนั่งกินที่ร้านดี หลายครั้งที่ฉันรู้สึกว่าทานที่ร้านกับสั่งกลับไปกินที่ห้องรสชาติอาหารมัก จะไม่เหมือนกัน คิดว่ารสชาติที่ขาดไปนั่นคงเป็นรสชาติของบรรยากาศ
Comment : ตกลงจะกินหรือจะทาน เอาสักอย่าง เอาให้แน่ หลายใจ ฮึ! (น่าจะใช้ 'กิน' สำหรับความหมายกินทั่วไป คำสุภาพเก็บไว้ใช้เป็นกรณีไป)
“เส้นหมี่ที่หนึ่งนึงค่ะ” สั่งเสร็จฉันเดินไปนั่งลงบนโต๊ะติดกำแพงเตี้ยๆ ที่กั้นแบ่งอาณาบริเวณของตลาดกับฟุตบาทริมถนน
เส้นหมี่ต้มยำถูกนำมาเสิร์ฟเมื่อน้ำมะพร้าวหมดลูกพอดี สายลมยังครางหวือๆอยู่ทั่วไป แต่ไม่น่าห่วงอะไรมากนักเพราะมั่นใจว่าคงกินก๋วยเตี๋ยวหมดชามก่อนฝนจะตก
แต่แล้ว ก๋วยเตี๋ยวพร่องไปยังไม่ทันถึงครึ่งชามสายลมก็พาสายฝนเม็ดหนึ่งมาแหมะลงบน แขน ฉันเงยหน้ามองดูที่มาของเม็ดฝนไม่ทันที่สายตาจะจับภาพใดๆ ได้ฝนอีกเม็ดก็หยดแหมะลงบนหน้าผากพอดิบพอดีเหมือนจับวาง และเม็ดอื่นก็ตามลงมาเรื่อยๆ ฉันก้มหน้าทานก๋วยเตี๋ยวต่อเมื่อคิดได้ว่า ตั้งแต่เกิดมาจนอายุป่านนี้ยังไม่เคยกินก๋วยเตี๋ยวกลางสายฝนสักที ลองดูสักวันจะเป็นไรไป
โต๊ะข้างๆ เริ่มขยับขยาย เด็กเสิร์ฟสาละวนกางร่มผ้าใบ ร่มคันหนึ่งถูกนำมากางติดกับโต๊ะที่ฉันนั่งพอกันสายฝนได้ ฉันนั่งกินก๋วยเตี๋ยวไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน
Comment : หากขยับขยาย แสดงว่ามีคนมาเพิ่มนะ จริงไหม?
ฟ้าร้องครืนๆ อยู่เป็นระยะ บางครั้งมีฟ้าแลปแปลบปลาบชวนให้หวาดเสียว สายลมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พัดพาละอองฝนมาลอยคละคลุ้ง(สาด)ไปทั่วโต๊ะ ฉันนั่งซดก๋วยเตี๋ยวในขณะที่น้ำฝนหยดจากชายร่มผ้าใบไหลไปตามร่องสันหลัง
Comment : คละคลุ้ง (ลองเปิดพจน์นะเจ้าคะ)
ไออุ่นจากน้ำก๋วยเตี๋ยวผสมผสานความเย็นฉ่ำจากน้ำฝนให้ความซาบซ่านลึกล้ำ ฉันนั่งละเลียดเส้นก๋วยเตี๋ยวช้าๆแต่ถึงกระนั้นก็ไม่ค่อยรับรู้รสชาติของ ก๋วยเตี๋ยวมากนักเพราะประสาทความรู้สึกทั้งหมดของฉันไปรวมตัวซึมซับความเย็น บนแผ่นหลังเสียทุกส่วน
โต๊ะข้างๆ เริ่มลุกขึ้นมายืนเบียดเสียดภายในร่มคันเดียวกัน เด็กวัยรุ่นสองคนถือชามก๋วยเตี๋ยวมายืนกินข้างโต๊ะที่ฉันนั่ง ทั้งคู่กินกันไปมองตากันไปแล้วก็หัวเราะออกมาเป็นครั้งคราว คงเพราะความตลกกันเองนั่นแหละฉันนั่งมองอดขำไปด้วยไม่ได้ โต๊ะอื่นลุกขึ้นยืนหลบฝนกันหมดแล้วเหลือเพียงฉันที่ยังนั่งละเลียด ก๋วยเตี๋ยวอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ลูกชิ้นลูกสุดท้ายเข้าปากพร้อมกับแผ่นหลังที่เปียกโชกเต็มพื้นที่ ฉันลุกขึ้นยืนขยับเข้าไปเบียดเสียดกับคนอื่นๆ บ้าง ไม่ใช่เพราะฉันกลัวสายฝนหรือกลัวเปียก มันคงสายไปนานแล้วที่จะมีความรู้สึกนั้น แต่มันดูออกจะน่าหมั่นไส้เกินไปที่จะยังนั่งสวยเริดใช้แผ่นหลังรับน้ำฝนโดย ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม
สายลมพัดกระหน่ำมาอีกระลอกคราวนี้พัดพาสายฝนเข้ามาจนผู้คนเปียกปอนกันไปหมด กระแสลมทำให้โลมา(เส้นขน)ลุกชันทุกรูขุมขน หนาวไปสุดขั้วหัวใจ ฉันเพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เอง ‘หนาวไปถึงกระดูกดำ’ มันเป็นยังไง แรงลมกรรโชกทุกทิศทางและไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนกำลัง ร่มผ้าใบหมดประโยชน์ไปนานแล้ว เส้นขนลุกตั้งไม่ยอมลดราวาศอก ฉันสั่นไปทั้งตัว ได้ยินเสียงฟันตัวเองกระทบกันกึกกึก ฉันเพิ่งสำนึกได้อีกครั้งว่าร่างกายฉันรับมือกับความหนาวเย็นได้ไม่ดีพอ ฉันกำลังถวิลหาผ้าห่มผืนหนาบนเตียงอบอุ่น ยิ่งคิดถึง ความหนาวเหน็บก็ยิ่งรุมเร้า ฉันเสียวแปลบไปทั้งหัวใจ น่าแปลกที่วินาทีนั้นความตายแวบเข้ามาในความคิด
Comment : 'หนาวถึงกระดูกดำ' ท่านจินนี่เองจ้ากรุณาทักท้วง ข้าพเจ้าเองจนด้วยเกล้า ตรวจสอบแล้วแจ้งกันด้วยนะขะรับ ว่าสำนวนเดิมว่าอย่างไรแน่
โลมา เป็นคำศัพท์ ไม่เข้ากับเรื่องเล่าภาษาไซด์โค้งเยี่ยงนี้ ท่านว่าไหม? หากต้องการเลี่ยงไม่ให้ซ้ำ 'เส้นขน' กับ 'รูขุมขน' เสนอตัดคำให้ประโยคสั้นลง
'ไม่ยอมลดราวาศอก' เราล้วนทราบความหมาย นำมาเล่นกับเขียนคุยคงตามแต่สนานใจ แต่หากเป็นงานเขียนเอาจริงจัง ขอท่านทบทวน
ประโยคสุดท้าย เข้าข่ายจะออกทะเลขะรับ กำลังคิดดึงคนอ่านให้แถออกไปไกลประเด็นปิดอย่างเพลิดเพลินเจริญใจใช่บ่? ทักษะการดึงเนื้อหาตรงนี้ ข้าพเจ้าเองก็ยังอ่อนด้อย ไม่อาจกล่าวได้มากนัก รู้เพียงว่าหากดึงออกไปทางไหนจะต้องชักใบวกกลับมา ไม่ค้างเติ่งไว้อย่างนั้น (เมื่อคำนึงถึงความตาย จะต้องมีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องความตาย จนกว่ากระแสสำนึกสิ้นสุดแล้วจึงวกกลับเข้าเรื่อง) หากไปแล้ววกกลับไม่ได้ จะต้องตัดตรงนั้นออก
สายฝนลงเม็ดหนาไม่สร่างซา สายลมยังกระหน่ำไม่หยุดยั้ง เกินที่ร่างกายจะทานทนได้อีกต่อไป สองเท้าพาฉันวิ่งฝ่าสายฝนที่ตกลงมาไม่ลืมหูลืมตา กระแสลมพัดพาสายฝนมาปะทะผิวหน้าจนรู้สึกแสบร้าว หูอื้อดวงตาพร่าเลือน แต่ยังพอให้ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกมาทางเบื้องหลัง
Comment : ประโยคปิดย่อหน้า ทิ้งเค้าไว้ แต่หากกล่าวมากเกรงคนอ่านจับไต๋ไต๋ใช่ป่าว...? แต่หากทิ้งไว้ห้วน ๆ ขอลองทบทวนว่าผิดธรรมชาติหรือไม่? หากบรรยายพฤติกรรมเพิ่มอีกนิดตามประสาคนได้ยินเสียงโหวกเหวก อาจเป็นหันกลับไปมองแต่ไม่ได้สนใจเพราะความที่ยืนกรำฝน หรือเห็นแต่ภาพเลือน ๆ ในสายฝน หรืออะไรแล้วแต่ จะดีไหม?
ฉันวิ่งฝ่าสายฝนมาหยุดตรงเส้นเหลืองกลางถนน สายฝนที่ลงเม็ดหนาทำให้สายตามองเห็นได้ไม่ไกลนัก แต่รถราที่วิ่งมาต่อเนื่องไม่ขาดตอนนั้นทำให้ฉันต้องหยุดอยู่กับที่ไม่อาจ ขยับขาก้าวต่อไปได้ นอกจากหยุดรอจนกว่ารถจะขาดตอน
‘สาวงามกลางถนนท่ามสายฝนหนักหน่วง ฉันได้รับบทเป็นนางเอกมิวสิคอีกเรื่องหนึ่งแล้ว’ แม้จะยืนสั่นงันงกแต่ฉันยังมีอารมณ์สนุกนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
หลายอึดใจผ่านไปกับอ้อมแขนที่กอดรัดตัวเอง(กล่าวได้ดี..กล่าวได้ดี..) เท้าฉันขยับเร่งฝีเท้าอีกครั้ง อพาร์ตเม้นต์ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ประตูอพาร์ตเม้นต์ปิดสนิท ฉันนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้หยิบคีย์การ์ดลงมาด้วย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาทันทีที่วิ่งไปใกล้ เสียงออดก็ดังขึ้นพร้อมกับประตูเปิดกว้างด้วยมือของคุณน้าผู้เฝ้าอพา ร์ตเม้นต์
Comment : เรื่องประธานที่กล่าวถึงแล้ว ประโยคตามมาสมควรละไว้ (หัวข้อนี้คุยกันแย้วว)
“เชิญเลยครับ เชิญเลย” น้ำเสียงใจดีที่เคยได้ยินเสมอกล่าวเชื้อเชิญ
“ขอบคุณค่ะ” ฉันไม่ลืมหันไปขอบคุณในน้ำใจไมตรีของคุณน้าเหมือนเช่นทุกครั้ง
“ขึ้นบันไดนะหนู ฝนตกฟ้าร้องแบบนี้ เดี๋ยวลิฟต์มีปัญหา” เสียงเตือนห่วงใยดังไล่หลังมาอีก ฉันไม่ได้หันไปมอง เพียงแต่ส่งเสียงตอบกลับไป
“ค่า..”
เดินขึ้นบันไดไปชั้นห้าไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย เพราะปกติฉันก็ใช้บันไดขึ้น-ลง พอๆ กับใช้ลิฟต์อยู่แล้ว แต่เวลานี้
“ชั้น 5 โอ...แม่จ้าวววว!!!! พุธโธ ธัมโม สังโฆ ช่วยลูกช้างด้วย..!”
…
ไขประตูเข้าห้องเสร็จ ฉันรีบคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำทันที
สายน้ำจากฝักบัวช่วยให้รู้สึกสบายขึ้น ความหนาวเหน็บที่เกาะกุมรุมเร้าขั้วหัวใจเมื่อครู่จางหายไปหมดสิ้น ไม่ใช่สายน้ำฝักบัวที่ช่วยให้มันคลี่คลาย แต่เป็นฝีเท้านักวิ่งลมกรดบวกด้วยบันได้ห้าชั้นเมื่อครู่นี้ต่างหากที่กำจัด ความหนาวเหน็บออกไปจากร่างกาย
ออกจากห้องน้ำประแป้งแต่งตัวเสร็จ แทนที่จะซุกกายภายใต้ผ้าห่มหนาบนเตียงอบอุ่นที่ถวิลหามาตลอดเส้นทาง ฉันกลับนั่งลงหน้าโต๊ะคอมพ์คว้าสมุดขึ้นขีดเขียนเรื่องราว ขณะเริ่มจับปากการู้สึกตงิดๆ เหมือนลืมอะไรไปบางอย่าง แต่เขียนมาถึงบรรทัดนี้ฉันนึกออกแล้วล่ะว่าฉันลืมอะไรไป
ฉันลืมจ่ายค่าก๋วยเตี๋ยวนั่นเอง !!!
ข้อดี : ประเด็นชัดเจน ลีลาบรรยายนำทางชักเข้าฝัก พาคนอ่านออกเกือบพ้นปากอ่าว รับรองเดาทางกลับไม่ถูกแน่ (หากความสำเร็จของเรื่องหักมุมอยู่ที่คนอ่านเดาตอนจบไม่ออก เที่ยวนี้ท่านทำสำเร็จ!)
ข้อด้อย : ตรง '..คิดถึงความตาย..' สำมะคัญ มีคำแก้ต่างไหม? อยากฟัง..อยากฟัง..มิฉะนั้น นั่นจะเป็นจุดด้อยทำลายตัวเรื่องอย่างร้ายกาจ
ข้อเสนอแนะ : อย่าลืมที่เราคุยกันเรื่อง 'อย่ากล่าว จงแสดง' วรรคจบ หากเปลี่ยนจากเฉลยจากปากผู้เล่า เป็นบรรยายเพิ่มอีกสักย่อหน้า อาจเป็น..วันต่อมาแวะไปกินอีก ตอนจ่ายตังค์คนขายทอนไม่ครบ ฉันมองเหรียญในมือแล้วมองหน้าคนขาย จากนั้นรีบขอโทษขอโพย ทีนี้ล่ะคนอ่านจะงงสองวิฯ แล้วค่อยคิดขึ้นได้ ว่าผู้เขียนบอกใบ้ไว้แล้วในตัวเรื่องตูข้าไม่ทันสะกิดใจเอง
จะเป็นการจบอย่างเล่นชั้นซ่อนเชิง อีกทั้งการที่คนอ่านคิดได้เองจะให้ความรู้สึกสมใจ ต่างกับผู้เขียนเฉลยหลายขุมนัก เห็นด้วยไหมขะรับ?
หมายเหตุ : บางความเห็นไม่สอดคล้องหรือกระทั่งแย้งความเห็นท่านจินนี่เองจ้าที่เคารพรักกรุณาทักท้วง หวังเราเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นรสแลสีสันของการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสาคนรักอักขระรจนา ไม่ว่าเห็นพ้องหรือแย้งขอเพียงเพิ่มมุมมองให้กัน การแลกเปลี่ยนย่อมนำมาซึ่งพัฒนาการทางอักขระทักษะของเหล่าเรา แลสร้างบรรยากาศของการเขียนไปด้วยกันอย่างมีรสมีชาติ เท่านี้ชีวิตประจำวันของนักหัดเขียนน้อยเยี่ยงข้าพเจ้าก็เปี่ยมสุขแล้ว
ขอท่านเจริญอักขระบารมี นำความเห็นต่าง ๆ ชั่ง-วัดตามแต่ใจพิศมัย เห็นด้วยหรือแย้งหาเป็นไรเลย ขอเพียงแนบเหตุผลมาด้วยเป็นพอ
จะรอชิ้นต่อไปด้วยความระทึกในดวงหทัยขะรับ
คารวะ
โห!!! ท่านยังไปขุดมาซ่อมให้อีกเหรอ?
ตอบลบช่างน่ารักกระไรเช่นนี้ ยังไม่ได้อ่านเลยเจ้าค่ะ แค่ดูคอมเม้นต์ผ่านๆ ด้านบนนั่นค่อยคุยกันนะท่าน ข้าเจ้าต้องนั่งเก็บรายละเอียดก่อน
ด้วยความเคารพและระลึกถึงมากมาย
ด้ายยยยเลย
ตอบลบทุบหน้าต่างทิ้งไปแล้วรึทั่น?
ตอบลบเจอกันวันพรุ่งเจ้าค่ะ
นิทราสวัสดิ์
สายลม
วันพรุ่งเพื่อนบวช
ตอบลบแล้วเจอกัลล์ขะรับ
ป.ล. หน้าต่างคงมีปัญหากับรัฎบาล
หวัดดีท่านดิลล์ที่เคารพ
ตอบลบมาว่าด้วยเรื่องซ่อมงานกัลล์
Comment : 'คว้าสตางค์..' ที่ท่านจินนี่เองจ้ากรุณาทักท้วง สำหรับข้าพเจ้ายังโอเช
@ ตอนเขียนเสร็จแล้วกลับมาอ่านทวน ข้าเจ้าก็สะดุดตรงนี้เหมือนกัน แต่ที่ยังใส่มาเพราะสำหรับ'ห้องพัก'ข้าเจ้าต้องการอิงบนพื้นฐานของความจริงให้มากที่สุด ตั้งแต่ที่กระเป๋าสตางค์หายไปเมื่อสามสี่ปีก่อน แล้วต้องวิ่งวุ่นทำบัตรใหม่สารพันอย่าง ข้าเจ้าก็ไม่พกกระเป๋าสตางค์อีกเลย
วันนั้นออกไปตลาดหยิบแค่สตางค์กับกุญแจห้อง ตรงจุดนี้ข้าเจ้าก็รอความเห็นท่านอยู่นี่แหละ เพราะโดยทั่วไปเรามักติดคว้า'กระเป๋าสตางค์'กัน แต่ในความจริงแล้วหากไปซื้อของละแวกใกล้ๆ ก็ไม่ค่อยจะมีใครเอากระเป๋าสตางค์ไปนะ(อันนี้สังเกตจากเพื่อนข้าเจ้าประมาณ 2-3 คน)ก็เห็นแต่หยิบสตางค์ไปกันคนละร้อยสองร้อย
'คว้าสตางค์'แม้จะอ่านเองแล้วสะดุดแต่ข้าเจ้ายังใส่มาก็เพราะเหตุนี้แหละ เพราะมันอยู่บนพื้นฐานของความจริง(ที่อ่านแล้วสะดุดนั่นบางทีอาจเพราะข้าเจ้าได้รับอิทธิพลความคุ้นชินมาจากงานเขียนคนอื่น)
Comment : '..ทอดขาเอื่อย ๆ ..' ตามที่ท่านจินนี่ทัก ทำเอาข้าพเจ้าอึ้ง เป็นอึ่งอ่างคออักเสบ ไม่รู้สิ ผู้เขียนอาจหิวมากจนเผลอคิดถึงขาไก่ทอดก็เป็นได้ (แฮ่) เอาเป็นว่า..ตามความเห็นข้าพเจ้า..ยังงง ๆ ไม่รู้เอาไงดี (อืมม์..เดินทอดขาเอื่อย ๆ ใช้ได้เปล่าหนอ..เห็นทีต้องรบกวนศิษย์พี่ ท่านประทีปะเสียแล้ว)
'..สัมผัสได้ถึง..' กลวิธีกล่าวเช่นนี้อาจเป็นสำนวนจำเพาะของท่าน หากรักชอบแลใช้โดยเจตนาเห็นทีผู้น้อยมิหาญแตะ แต่หากกล่าวเป็น 'ระหว่างทางมีสายลมพัดมาเป็นระยะ' จะกระชับกว่าไหม ขอท่านพิจารณา
@ อ่านจากที่ท่านจินเม้นท์ข้าเจ้าจึงมาคิดได้ว่าความจริงก็เคยได้ยินแต่ 'เดินทอดน่อง' เหมือนกันไม่แน่ใจว่าเคยได้ยิน 'เดินทอดขา'มั่งป่าว(ยังแปลกใจเลยทำไมข้าเจ้าถึงเลือกใช้ตัวนี้ แถมตอนอ่านทวนยังไม่สะดุดด้วยซ้ำ) แต่หากมานั่งครุ่นคิดให้ลึกซึ้งอีกครั้ง เดินทอดน่องนั่นมันให้ความรู้สึกเหมือนเดินรับลมชมวิวไปเรื่อยๆ เหมือนไร้จุดหมายปลายทางมากกว่า
บางทีข้าเจ้าก็แอบคิดนะ บางคำอาจเป็นจิตใต้สำนึกเลือกให้(ฟังดูเว่อร์ไปมั้ย?)
หากเปลี่ยน 'สัมผัสได้ถึง' มาเป็น 'ระหว่างทางมีสายลมพัดมาเป็นระยะ' แล้วมันจะต่อกับประโยคหลังยังไงล่ะท่าน? ที่บอกว่า 'หนักหน่วงกว่าปกตินะ...'
ประโยคนี้ข้าเจ้าต้องการสื่อว่า ปกติน่ะก็มีลมพัดมาเป็นระยะอยู่แล้ว แต่ขณะที่เดินอยู่ตอนนั้นรู้สึกว่าลมมันจะพัดแรงกว่าทุกวัน จึงเอาคำ 'สัมผัสได้ถึง' มาใช้ แต่หากท่านอ่านแล้วตงิดๆ ก็คงต้องคิดกันอีกที
Comment : งงว่าภาพอะไรผุดในจินตนาการ เลยขีดเสียเลย (เผื่อหายงง)
@ อันนี้ลอง replay ภาพกลับไปขณะนางเอกอยู่ในลิฟต์อีกครั้งนะท่าน ตรง 'ขณะลิฟต์เคลื่อนลงสู่ชั้นล่าง ฉันครุ่นคิด ‘มื้อค่ำวันนี้จะกินอะไรดี?’ สมองตั้งคำถามพร้อมกันนั้นก็นำเสนอภาพแจ่มกระจ่างในห้วงคิดมาเป็นคำตอบ'
ตรงภาพในจินตนาการนั่นต้องการจะเชื่อมโยงกลับไปยังความคิดขณะอยู่ในลิฟต์ไง
แต่ท่านอ่านไม่เข้าใจแบบนี้ ก็คงต้องปรับประโยคใหม่
Comment : 'ลมกรรโชก' ข้าพเจ้ายืนยันว่าใช้ได้ (ความหมายเดียวกับ กระโชก) ประสาคอกำลังภายในน่ะทั่น ใช้บ่อย..ใช้บ่อย..
@ โอเช! ข้าเจ้าก็ภาวนาขอให้มันใช้ได้
Comment : ตกลงจะกินหรือจะทาน เอาสักอย่าง เอาให้แน่ หลายใจ ฮึ! (น่าจะใช้ 'กิน' สำหรับความหมายกินทั่วไป คำสุภาพเก็บไว้ใช้เป็นกรณีไป)
@ 'กิน' ดูบ้านๆ เข้าถึงง่าย ส่วน 'ทาน' ก็ดูเป็นผู้ดีมีมารยาทน่าคบค้าสมาคม ข้าเจ้าเลือกไม่ถูก เลยใส่มาซะทั้งสองอย่างเลย เป็นท่าน ท่านจะเลือกแบบไหนล่ะ? หากคนน้องช่างน่ารักส่วนคนพี่ก็แสนจะน่าเลิฟ (ฮ่าๆ)
Comment : หากขยับขยาย แสดงว่ามีคนมาเพิ่มนะ จริงไหม?
@ จริง!
Comment : คละคลุ้ง (ลองเปิดพจน์นะเจ้าคะ)
@ เปิดแว้วว
คละคลุ้ง [-คฺลุ้ง] (กลอน) ก. คลุ้ง, เหม็นคล้ายกลิ่นของเค็มปนกับของเน่า, เช่น ใบก็เหม็นคาวปลา คละคลุ้ง. (โลกนิติ).
Comment : 'หนาวถึงกระดูกดำ' ท่านจินนี่เองจ้ากรุณาทักท้วง ข้าพเจ้าเองจนด้วยเกล้า ตรวจสอบแล้วแจ้งกันด้วยนะขะรับ ว่าสำนวนเดิมว่าอย่างไรแน่
โลมา เป็นคำศัพท์ ไม่เข้ากับเรื่องเล่าภาษาไซด์โค้งเยี่ยงนี้ ท่านว่าไหม? หากต้องการเลี่ยงไม่ให้ซ้ำ 'เส้นขน' กับ 'รูขุมขน' เสนอตัดคำให้ประโยคสั้นลง
'ไม่ยอมลดราวาศอก' เราล้วนทราบความหมาย นำมาเล่นกับเขียนคุยคงตามแต่สนานใจ แต่หากเป็นงานเขียนเอาจริงจัง ขอท่านทบทวน
ประโยคสุดท้าย เข้าข่ายจะออกทะเลขะรับ กำลังคิดดึงคนอ่านให้แถออกไปไกลประเด็นปิดอย่างเพลิดเพลินเจริญใจใช่บ่? ทักษะการดึงเนื้อหาตรงนี้ ข้าพเจ้าเองก็ยังอ่อนด้อย ไม่อาจกล่าวได้มากนัก รู้เพียงว่าหากดึงออกไปทางไหนจะต้องชักใบวกกลับมา ไม่ค้างเติ่งไว้อย่างนั้น (เมื่อคำนึงถึงความตาย จะต้องมีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องความตาย จนกว่ากระแสสำนึกสิ้นสุดแล้วจึงวกกลับเข้าเรื่อง) หากไปแล้ววกกลับไม่ได้ จะต้องตัดตรงนั้นออก
@ ข้าเจ้าว่าน่าจะใช้ได้นะ(ความคิดเห็นส่วนตัว) ทั้งเจ็บ ทั้งหนาว ทั้งเกลียดนั่นแหละ เหมือนกับย้ำความรู้สึกนั้นว่าสุดๆ แล้ว ไม่ว่าสำนวนเดิมจะมีว่าอย่างไร ภาษามันก็เกิดมาใหม่ทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่หรือทั่น? ไม่แปลกหากเราจะเอามาต่อกิ่งต่อก้านให้มัน ใช่จะเอามาปู้ยี่ปู้ยำซะหน่อย
หากสำนวนเดิมบอกว่า 'เกลียดเข้ากระดูกดำ' หมายความว่า เกลียดที่สุดถึงที่สุด ชาตินี้ไม่เคยเกลียดใครมากเท่านี้มาก่อน
'หนาวเข้ากระดูกดำ' ก็เข้าทำนองเดียวกันหนาวที่สุดถึงที่สุด ชาตินี้ไม่เคยหนาวมากเท่านี้มาก่อน หรือท่านเห็นว่าไง? การปรับเปลี่ยนเช่นนี้สมเหตุสมผลหรือไม่?
เรื่องโลมากับไซด์โค้ง เฮ้อ.. กลับมาอ่านทวนแล้วให้อ๊าย..อาย.. คิดไปได้งไง'ไซด์โค้งหักพวงมาลัยออกนอกเส้นทาง' เกิดแหกโค้งไปนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างถนนจะทำไง?
'ไม่ยอมลดราวาศอก' จะพยายามทบทวนอย่างที่ท่านชี้แนะ แม้จะยังสงสัยอยู่ว่าทำไมถึงใช้ไม่ได้?
ประโยคสุดท้ายนั่นไม่ได้ตั้งใจจะดึงใครไปไหน แค่อยากบอกว่า "หนาวจะตายอยู่แล้ว!!!!"
Comment : ประโยคปิดย่อหน้า ทิ้งเค้าไว้ แต่หากกล่าวมากเกรงคนอ่านจับไต๋ไต๋ใช่ป่าว...? แต่หากทิ้งไว้ห้วน ๆ ขอลองทบทวนว่าผิดธรรมชาติหรือไม่? หากบรรยายพฤติกรรมเพิ่มอีกนิดตามประสาคนได้ยินเสียงโหวกเหวก อาจเป็นหันกลับไปมองแต่ไม่ได้สนใจเพราะความที่ยืนกรำฝน หรือเห็นแต่ภาพเลือน ๆ ในสายฝน หรืออะไรแล้วแต่ จะดีไหม?
@ ดีเจ้าค่ะ
Comment : เรื่องประธานที่กล่าวถึงแล้ว ประโยคตามมาสมควรละไว้ (หัวข้อนี้คุยกันแย้วว)
@ ลืมอีกแย้วว
ขอบพระคุณคำชี้แนะต่างๆ เจ้าค่ะ เปิดหูตาข้าเจ้าได้มากมายก่ายกอง จะพยายามนำคำทักท้วงของท่านและเหล่าสหายในสำนักไปทบทวนเพื่อประโยชน์ในงานชิ้นต่อไป บางครั้งหากเขียนแล้วยังผิดในจุดเดิมขอท่านทักท้วงอีกนะเจ้าคะ เพราะบางทีนั่นอาจเป็นความเคยชินหรือเผอเรอ แต่หากมีความเห็นต่างยังไงข้าเจ้าจะชี้แจงให้ท่านเข้าใจ
ด้วยความเคารพและสำนึกในบุญคุณ
สายลม
ปล๑.'ประเด็นชัดเจน ลีลาบรรยายนำทางชักเข้าฝัก พาคนอ่านออกเกือบพ้นปากอ่าว รับรองเดาทางกลับไม่ถูกแน่' อันนี้เป็นคำชมใช่ไหมทั่น ข้าเจ้าตงิดๆ เหมือนเดินเหน็บยังไงไม่รู้สิ :)
ปล๒.'หลายอึดใจผ่านไปกับอ้อมแขนที่กอดรัดตัวเอง(กล่าวได้ดี..กล่าวได้ดี..)' เขียนมาพันประโยคได้รับคำชมสักประโยคก็ภูมิใจแว้วววว
ปล๓.ขออนุโมทนาบุญกับเพื่อนท่านด้วยนะเจ้าคะ
ปล๔.หน้าต่างเกี่ยวอะไรกับรัฏบาล?(แล้วทำไมต้องเป็น 'ฏ'?)
ด้วยความเคารพ
เย็นลมบ่ายสวัสดิ์ทั่น
ตอบลบส่งเพื่อนเข้ากุฎีเป็นที่เรียบร้อย
เข้าใจคำแจงแจ่มแจ้งแดงแจ๋ สำหรับ 'ไม่ยอมลดราวาศอก'ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นพฤติกรรมของคนนะขะรับ ไม่น่าใช้ได้กับเส้นขน หรือทั่นว่าไง?
ป.ล.๑ เป็นคำชมขะรับ..คำชม..
ป.ล.๒ อืมมม
ป.ล.๓ รับส่วนบุญ..รับส่วนบุญ..
ป.ล.๔ เว็บ Cbox โดนรัฐบาลบล็อกขะรับ คงมีคนเอากล่องไปใช้ตามประสา ข้าพเจ้าแกล้งเขียนให้มั่วไปอย่างนั้นเอง อย่าถือสา..อย่าถือสา..
"รับส่วนบุญ..รับส่วนบุญ.."
ตอบลบตอนพิมพ์ประโยคนี้ท่านกรวดน้ำให้ด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ?
ทำไมข้าเจ้าถึงได้รู้สึกชุ่มฉ่ำเชีย!
ท่านดิลล์ที่เคารพ
ตอบลบเมื่อคืนเอาลิงก์ไปลงโดยพลการขออภัยด้วยเจ้าค่ะ ตั้งใจจะเข้ามาแจ้งให้ท่านทราบก่อนแล้ว แต่ทำไปทำมาอารมณ์ไหนก็ไม่รู้ เพิ่งมานึกขึ้นได้ว่าลืมบอก ขออำไพ ขออำไพ
ด้วยความเคารพ
ท่านสายที่เคารพ(กว่า)
ตอบลบไม่เป็นไรมิได้เจ้าค่ะ ขออย่าได้มากมารยาทเลย เผยแพร่ลิ้งก์ก็เท่ากับเผยเด่นชัยบล็อกธุลีดิน ข้าพเจ้าต้องขอบคุณท่านเสียซ้ำ เพียงเจ้านายช่างดิลล์ทำข้าพเจ้าพิพักพิพ่วนอยู่หลายส่วน การเผยตับไตไส้พุงบางครั้งยังโป๊เสียกว่าเผยเนื้อหนังมั้งสาอีกนะทั่น ข้าพเจ้าลังเลอยากใส่ระหัส แต่ Blogger ทำอย่าง Wordpress ไม่ได้ เลยได้แต่ส่งค้อนเจ้านายช่างเช้าสายบ่ายค่ำ (อ้อ..ข้าพเจ้าพบ 'ช่างใจ'อยู่ในจดหมายจากหญิงสาวเสื้อน้ำเงิน ในความหมายนั้นน่าจะเป็น 'ชั่งใจ' นะท่าน)
อำไพไม่มีจะให้ มะไฟเอาไหม..เปรี้ยวจี๊ดเชียล่ะ
คารวะ
หวัดดีท่านดิลล์ที่เคารพ
ตอบลบจะสิ้นเดือนแล้ว นิยายยังย่ำต๊อกไร้จุดหมาย เห็นทีจะเป็นตามคำท่านเสียเป็นแน่ 'คงแล้วเสร็จสงกรานต์ปีหน้า!'
แต่เมื่อยังไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ข้าเจ้ายังไม่ยอมแพ้หรอกนะ
ต้องขอเก็บตัวร่ายกระบวนยุทธ์แล้วเจ้าค่ะ เจอกันปลายสัปดาห์
ด้วยความเคารพ
ปล.หาได้มากมารยาท ไม่รู้ใจเขาไม่รู้ใจเรา บอกกล่าวให้รับรู้ จะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย ข้าเจ้าเคารพความรู้สึกสหาย เข้าใจ๋?
ปล2.ขอบพระคุณ 'ชั่งใจ' เจ้าค่ะ 'มือไวใจเร็ว สมองปลาทอง ตากุ๊ดจี่ถั่วๆ' นั่นคือสิ่งที่ข้าเจ้าเป็น
ขอทั่นสำเริงสำราญบานตะไทกับงานเขียนนะทั่นนะ :)
เดินทางโดยสวัสดิภาพขอรับ
ตอบลบข้าพเจ้าเองจะพยายามสุขสำเริง