ซอยตำแยเป็นชื่อซอย (แน่ล่ะต้องเป็นชื่อซอย หากเป็นชื่อถนนก็ต้องเรียกว่าถนนตำแยน่ะสิ) คนเล่าหันรีหันขวาง บ่นกระปอดกระแปด 'ใครทะลึ่งสอดปากมาในวงเล็บฟะ'

ซอยตำแย ตั้งอยู่ถัดจากซอย 5 บางแคร์สองซอย ตอนแรกก็คิดจะให้อยู่ติดกัน แต่เผื่อ ๆ ไว้ก่อนดีกว่า(กันเหนียว) ติดนิสัยตอนเรียนหนังสือเว้นกระดาษหน้าแรกในสมุดทุกที จนทุกวันนี้ยังไม่เข้าใจ 'เว้นไว้ทามมาย..?' เถอะ! ช่างมันเหอะเรื่องราวผ่านไปแล้ว เว้นเผื่อไว้สักสองซอยก่อนละกัลล์

ซอยตำแยเต็มด้วยทาวเฮาส์รุ่นเรอเนซ้องส์ (เอ่..ปีอะไรดีล่ะ..?) ขอเป็นปีที่คิดถึงไปก่อน คิดออกแล้วค่อยกลับมาเปลี่ยน ทาวเฮ้าส์ที่ว่าสร้างติดกันเป็นพืด หลังคาข้างฝาดูเป็นโครงสร้างเดียวแบบที่สถาปนิกเรียกว่าโครงสร้างผสานกลมกลืน คือใช้สังกะสีเก่ามาปะ ๆ แปะ ๆ จนดูไม่รู้แยกไม่ออกว่าตรงไหนหลังคาด้านไหนข้างฝา บางทีนกกระจอกมันบินมา ตั้งใจมาอึแท้ แต่ยังงง ๆ ว่านั่นมันข้างฝาหรือหลังคาได้แต่กระดกหัวอยู่ยุกยิก ที่สุดอดรนทนไม่ได้ มันกระดกตูด ปล่อยปริ๊ดมาทีนึงแล้วบินไป โครงสร้างภายในทาวเฮ้าส์โดยมากเน้นเลสบัทมอร์ แบบว่าว่าใช้เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นเปิดพื้นที่โล่งไว้ให้มากอย่างที่มัณฑณากรเรียกกันว่าสไตล์ล็อฟ 

แต่เอ..จะว่าว่างก็ไม่เชิง

ข้าวของเครื่องใช้จำเป็นนั้นไม่ค่อยมีนักหรอก แต่อะไรไม่รู้นู้นนี่จิปาถะแขวนตรงโน้นตรงนี้เต็มไปหมด ขอแค่ให้มีที่เกี่ยวเป็นมีอะไรสักอย่างแขวนไว้ ข้างฝาแปะรูปคนเหล็ก อาร์โนล (เขียนแค่นี้ล่ะ ที่เหลือสะกดไม่ถูก) บนพื้นมีกีต้าร์หนังกลับวางเอียงกระเท่เร่กับหนังสือเพลงเก่ากองหนึ่ง  มีห้องรับแขกห้องนั่งเล่นห้องครัวห้องน้ำรวมเป็นห้องเดียว 

บ้านตัวอย่างที่กล่าวถึงนี้ เป็นเซฟเฮ้าส์ของนายเบี้ยว ฉายา เบี้ยว บางบอน โก๋ใหญ่คุมซอยตำแย พวกสมุนของเบี้ยวทั้งหมดล้วนเคยเป็นนักเลงเกะกะระรานผู้คนอยู่ในซอยตำแย ก่อความรำคาญให้ชาวบ้านไม่เว้นตะละวัน จนวันหนึ่งเพื่อความสงบสุขของสังคม เบี้ยวแสดงฝีมือ ไล่เตะพวกมันหางจุกตูด จากวันนั้นเสียงเห่าขรมครามีคนเดินเข้าซอยก็เงียบหายไป เบี้ยวกลายเป็นหัวหน้าใหญ่ ไปไหนทีมีสมุนวิ่งตามกระดุกหางดุ๊กดิ๊ก ส่งเสียงครางหงิง (พวกมันไม่กล้าเห่าหากไม่สั่ง เพราะกลัวฤทธิ์teen)

วันนี้เบี้ยวอารมณ์บ่จอย แวะซื้อโอเลี้ยงแปะ (จ่ายตังค์นะไม่ใช่ไม่จ่าย แต่เบี้ยวเรียกตาแป๊ะคนขายโอเลี้ยงว่าแปะ) เดินหิ้วถุงโอเลี้ยงไปคอตกไป เอียงข้างซ้ายนาน ๆ ชักเมื่อยก็หันมาเอียงข้างขวาเสียทีหนึ่ง สักพักจึงจะยกถุงโอเลี้ยงขึ้นมาดูดสักที ไม่ใช่ไม่อยากกินแต่ขืนดูดบ่อยเดี๋ยวหมด ต้องเดินกลับไปซื้อใหม่ มีอยู่วันหนึ่งเบี้ยวเดินดูดลืมตัว จวนถึงชาเล่ท์มะลอมมะล่อ โอเลี้ยงหมดถุงเสียก่อน ต้องเดินกลับมาซื้ออีกที เดินไปเดินมาอยู่สองสามรอบจนแปะเอ่ยทัก

"ทามมายลื้อไม่นั่งกินซะที่นี่ให้มันเสร็จ ๆ ค่อยไป ฮึอาเบี้ยว?"

"เออ..จริงของแปะ" เบี้ยวเกิดพุทธิปัญญาได้ดวงตาเห็นธรรม "แปะเนี่ย..นับว่าเข้าใจปรัชญาเต๋าลึกซึ้งยากหาผู้ใดเสมอเหมือน"

"อารายของลื้อวะ?"

"ก็ที่แปะบอกมานั่นไง" เบี้ยวดูดโอเลี้ยงในถุง "นั่นน่ะเต๋าเต็กเก็งเทียวนาแปะ"

"เออ ๆ ช่างหัวลื้อเหอะ" แปะชงกาแฟเย็นรินใส่ถุงส่งให้ลูกค้าสาวนักศึกษา เบี้ยวยืนมองยักคิ้วขวาให้เธอสองที ตามด้วยคิ้วซ้ายอีกหนึ่งที แต่คิ้วขวากระดกด้วย คิ้วซ้ายไม่ยอมจึงต้องกระดกอีกสองที โชคดีที่น้องนักศึกษาคนนั้นไม่ได้หันมอง จนได้ยินเสียงแกร็ก ๆ เบี้ยวสะดุ้งโหยง 'เผลอดูดหมดอีกแระ'

วันนั้นเบี้ยวนั่งดูดโอเลี้ยงที่เพิงรถเข็นแปะ จนหายดูด..แต่ไม่ใช่วันนี้

เบี้ยวเดินคอตก หิ้วโอเลี้ยงมานั่งริมสระเอื้อมมือแขวนถุงไว้กับกิ่งไม้ ไอ้ปานเด็กขายขนมปังเลี้ยงปลารีบแจ้นมาเสนอสินค้า

"หนมปังให้ปลามั้ยพี่เบี้ยว"

"มึงรีบไปไกล ๆ เลยกูรมณ์บ่จอย"

ไอ้ปานชะงักตีน หยุดยืนอยู่กับที่ เบี้ยวไม่ได้หันมอง ส่งสายตาไปกับริ้วคลื่นน้อยที่วิ่งไล่กันบนผิวน้ำเป็นระลอก

"เป็นอะไรเพ่ มานั่งซึมจ๋อยอยู่คนเดียว" ไอ้จูสหายซี้บังเอิญเดินผ่านมา (ตามบทที่ผู้กำกับสั่งไว้)

เบี้ยวไม่ตอบและไม่หันมอง เพราะถ้าหันมองก็จะเสียบุคลิกซึมเศร้า จึงต้องวางเฉยทำตาลอยให้มากไว้

"ถามไม่ตอบ" ไอ้จูพึมพำ

"คุณปิ๊ก..." เบี้ยวรำพึง

"คุณปิ๊ก?" ไอ้จูทวน "คุณปิ๊กซอย 5"

เบี้ยวพยักหน้า

"คุณปิ๊กทำไม?" ไอ้จูถาม

"ไอ้ป๊อด..." เบี้ยวรำพัน

"ไอ้ป๊อดทำไม?"

"ไอ้ป๊อดกล้ามใหญ่"

"ใช่! ไอ้ป๊อดกล้ามใหญ่"

"ไอ้ป๊อดมันขี่ช็อปเปอร์"

"ใช่! ไอ้ป๊อดมันขี่ช็อปเปอร์"

"แล้วนายจะมาพูดตามเราทำไม หือ?" เบี้ยวมองตรงไปข้างหน้าไม่ยอมเสียบุคลิกซึมเศร้า

"เหม่..อยากรู้น่ะสิ มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้านไง พี่ไม่เคยได้ยินเรอะ?"

เบี้ยวส่ายหน้า ปล่อยสายตาโลมไล้ริ้วคลื่น

"นายช่วยเราไม่ได้หรอก นี่มันเรื่องของลูกผู้ชาย ต้องตัวตัว ไม่มีตัวช่วย"

"พี่มีเรื่องกับไอ้ป๊อดช็อปเปอร์เรอะ!?" ไอ้จูร้องลั่น

"ไม่มีก็เหมือนมี" เบี้ยวส่งสายตาไล้ริ้วคลื่นจนรู้สึกว่าริ้วคลื่นชักสยิว "เราให้หนังแผ่นคุณปิ๊กยืม ไอ้ป๊อดมันทะลึ่งยืมต่อ นายรู้ใช่มั้ยหมายความว่าไง?"

ไอ้จูขมวดคิ้วนิ่วหน้า ใช้ขมองอย่างหนักก่อนส่ายหน้า

"ไม่รู้อะ"

"เอาเหอะ" เบี้ยวส่ายหน้าระอาใจ "มันเป็นเรื่องของเรากะไอ้ป๊อด เราจะได้เห็นดีกัลล์"

"แต่มันกล้ามใหญ่นา" ไอ้จูพูดพลางมองสารรูปเพื่อนรุ่นพี่ ผอมแห้งเป็นไม้เสียบไก่ย่าง ผมยาวรวบไว้หลวม ๆ "จะไหวเร้อ..."

เบี้ยวสูดลมหายใจลึก ไม่ยอมหันมองเกรงเสียบุคลิก ใช้นิ้วชี้จิ้มที่ขมับ

"โว้ว!" ไอ้จูแหกปาก "ถึงกับจะฆ่าตัวตายเชียวเรอะ!?"

"ไม่ใช่" เบี้ยวส่ายหน้าระอิดระอา(อีกที) "มันอยู่ที่สมอง..รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะเก้าสิบเก้าครั้ง"

"แล้วอีกครั้งนึงล่ะ"

"ยอมแพ้เสียบ้างไม่งั้นวันหลังไม่มีใครแทง" เบี้ยวตอบหน้าตาเฉย ภาพใบหน้าคุณปิ๊กล่องลอยบนริ้วคลื่น รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ท่าทีเปิ่น ๆ ยังประทับใจเบี้ยวไม่รู้ลืม อยากพูดคุยกะคุณปิ๊กให้มากกว่านี้ แต่ทำไงได้ อยู่คนละซอยเหมือนแม่น้ำมากั้นทะเลมาบัง เอาหนังไปให้ยืมอยากบอกความนัย แต่คุณปิ๊กกลับเอาไปให้ไอ้ป๊อดยืมต่อเสียงั้น จะให้ตีความว่ายังไง เรื่องของความในใจช่างสับสนวุ่นวาย

กำลังคิดเพลิน เบี้ยวต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียง แกร็ก ๆ ๆ ๆ ๆ รีบหันไปมอง

"นั่นมันโอเลี้ยงของเรานะจู"

"อ้าว! นึกว่าไม่กินแล้ว เห็นห้อยไว้ให้ละลาย"

เบี้ยวส่ายหน้าด้วยความอิดหนาระอาใจเป็นครั้งที่เก้าร้อยเก้าสิบเก้า ไอ้จูยังดูด แกร็ก ๆ

"ช่วยพี่คิดไง..สมองจะได้ทำงาน"

"ไม่ต้องค้งต้องคิดแล้ว" เบี้ยวขยับลุก "ไปกันเลยไป"

"ไปซอย 5?"

"ไปร้านแปะ"

บ่ายวันนั้นชาวบ้านในซอยตำแยเห็นสองหนุ่มเดินคุยกัน คนหนึ่งเดินคอตก อีกคนเดินดูดถุงโอเลี้ยงแกร็ก ๆ ๆ มีสมุนวิ่งตามเป็นพรวน

"พี่เอาหนังเรื่องไรให้คุณปิ๊กยืม"

"คนเหล็ก" 

OOO

@ ซิทคอมเล็ก ๆ : บางแคซอย 5 : ตอน...พ่อของหมู saranya_นก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น