ตอนฝนเทลงมาเบี้ยวกำลังยืนรอแม่ค้าหยิบกล้วยปิ้งใส่ถุง เห็นแกจับแล้ววางจับแล้ววาง ไม่ยอมหยิบสักที เบี้ยวขัดใจ มองฟ้าฝนก็กำลังตั้งเค้า

"นี่ป้า..จับแล้วปล่อยอย่างนั้นเมื่อไหร่จะได้กิน"

"ก็มันร้อนนี่พ่อคุณ"

"ร้อนป้าก็หาคีมสักอันมาหยิบเซ่" เบี้ยวออกลายโก๋ประจำซอย

ป้าแม่ค้าแหงะมองเหมือนพบตะกวดหลุดจากจูราสสิคปาร์ค ปากก็พึมพำ

"ชั้นขายของชั้นมาอย่างนี้ไม่รู้กี่ปีแล้ว ไม่เห็นมีปัญหา"

"ป้าว่าไรนะ!" เบี้ยวฟึดฟัด แหงนดูเมฆฝนตั้งเค้า

"ป่าว" ยัยป้ายังจับแล้วปล่อย จับแล้วปล่อย อีกมือถือถุงรอค้าง เบี้ยวตั้งท่าจะเผ่นหนีฝน

"อ้าว..สั่งแล้วต้องเอานะ เดินหนีไปเฉย ๆ ไม่ได้นะพ่อคุณ"

เบี้ยวจำหันกลับมาส่ายหน้าระอิดระอา ที่สุดฝนก็เทลงมาราวฟ้ารั่ว เบี้ยวเบียดตัวเข้าใต้ชายคาแต่ไม่พ้นละอองฝน

"นี่ เป็นหนุ่มเป็นเหน้าไม่คิดช่วยกันบ้างหรือไร?"

เสียงยัยป้าร้องแข่งเสียงฟ้า มือสาละวนลากร่มคันใหญ่บังทางฝน เบี้ยวกุมหัวพอรักษาผมไม่ให้เสียทรง วิ่งเหยาะออกไปช่วยลาก แต่ลมพัดโหมจนสองคนต้องช่วยกันยื้อร่มไม่ให้ปลิวตามแรง

ทั้งสองเปียกปอน สายฝนเย็นไหลชโลมลงตามแขน ร่างคนทั้งสองเบียดชิดจนไออุ่นลอยฟ่องเหมือนมีใครมาเป่าดรายไอซ์ทำเอ็ฟเฟคประกอบฉาก ภาพกลายเป็นสโลว์โมชั่นโดยไม่เจตนา มีเสียงเพลงของเบเกอรี่ลอยล่องมากับสายฝน เบี้ยวเหลือบมอง ยัยป้าส่งยิ้มเซ็กซี่หวานจ๋อย แต่เบี้ยวยิ้มผะอืดผะอมเหมือนคนปวดท้องหนัก     

สักพักลมแรงเมื่อแรกฝนตั้งเค้าพัดผ่านไป ทิ้งสายฝนเม็ดหนาหล่นทำมุมยี่สิบองศา (หรืออาจมากกว่านั้นนิดหน่อย พอดีไม่มีไม้บรรทัดวัด) เบี้ยวยืนคอยพักใหญ่ดูท่าจะไม่หยุดง่าย ๆ เสียแล้ว ลังเลอยู่ว่าจะวิ่งฝ่าสายฝนกลับบ้านดีหรือคอยจนฝนหยุดดี ก็บังเอิญเห็นหญิงสาวก้าวลงจากรถเมล์

สายตาเบี้ยวเร่งออโต้โฟกัส ภาพปรับซูมพุ่งชนสายฝนกระจุยกระจายไปยังหญิงสาวสวมเสื้อลูกไม้สีชมพูทิ้งชาย กางเกงยีนส์รัดรูป

"คุณ..ปิ๊..ก.." เบี้ยวขยับปากโดยคนเขียนไม่ทันสั่ง ก้าวขาพุ่งตามสายตาไป แต่เพราะภาพยังอยู่ในโหมดสโลว์โมชั่น ขาจึงเคลื่อนออกช้า ๆ

"เดี๋ยว!"

เสียงร้องดังลั่น เบี้ยวสะดุ้งโหยงโหมดสโลว์โมชั่นแตกโผละกระจายร่วงลงพื้น เบี้ยวหันมอง

"อะไรอีกเล่าป้า"

"เอานี่" ที่สุดยัยป้าก็หยิบกล้วยปิ้งใส่ถุงสำเร็จ "ไม่คิดตังค์"

"เปียกหมดแล้ว"

"ถึงไม่คิดตังค์ไง"

เบี้ยวคว้าถุงกล้วยปิงได้หันอีกที หญิงสาวกลายเป็นภาพสีชมพูจาง ๆ อยู่ในม่านฝนหม่นมัว เบี้ยวออกตัววิ่งร้อยเมตร ไม่ทันยินเสียงยัยป้าบ่นตามหลัง

"คนหนุ่มสมัยนี้ ไม่รู้จักมรรยาทกันบ้างเล้ย"

สายฝนเรียงริ้วฉ่ำเย็น ในเสียงพรำคล้ายสะอื้นไห้ หญิงสาวก้าวขาอย่างเชื่องช้า ปล่อยสายน้ำไหลโลมกาย ชะเรือนผมยาวสลวยระใบหน้าจนต้องใช้นิ้ววาดออก ความเย็นค่อยซึมซาบผ่านผิวเนื้อ หญิงสาวยื่นแขนปล่อยให้สายฝนสัมผัสผิว คล้ายคนคุ้นเคยที่กลับมาพบกัน หลับตาแหงนหน้าขึ้นฟ้า เข็มฝนพรูต้องใบหน้าเจ็บปลาบ ก้มหน้าคืนแล้วก้าวเดินไปโดยไม่ได้สนใจว่ามีคนมาเดินอยู่ข้าง 

"ทำไมเดินตากฝนล่ะครับคุณปิ๊ก?"

หญิงสาวเหลียวมอง ใบหน้าฉ่ำฝนเป็นพรายเงาอมยิ้มละห้อยไม่ตอบคำ

"ซอยห้าอีกสองป้าย คุณปิ๊กลงผิดป้ายช่ายม้า?" เบี้ยวไม่ละพยายาม หญิงสาวยังทอดเท้าสม่ำเสมอ

"คุณปิ๊กไม่อยากคุย จะไล่ผมไปก็ได้นะครับ"

หญิงสาวหันมองทั้งขายังก้าวไปข้างหน้า เม้มริมฝีปากแนบแน่น เบี้ยวทำหน้าทำตาตาม หญิงสาวอดยิ้มไม่ได้

"เบี้ยวไปไหนมาคะ?"

"เอ่อ..เอางานไปส่งครับ" งานเสร็จไปตั้งวานซืน คิดออกมานั่งโม้กะไอ้จูแต่ไม่รู้มันไปอยู่เสียที่ไหน เลยแกร่วปากซอยจนฝนตก แต่ขืนบอกคุณปิ๊กอย่างนี้ดูจะไร้สาระไปหน่อย ปดนิดหน่อยคุณปิ๊กคงไม่ว่าไร

"ยังไม่ตอบเลย..ทำไมมาเดินตากฝน"

"ไม่มีอะไรหรอกค่ะ" หญิงสาวยิ้มฝืน "ปิ๊กแค่คิดถึงตอนยังเด็ก ชอบเล่นน้ำฝน เลยลองเดินตากฝนดู"

"ไม่กลัวเป็นหวัดเหรอครับ?"

"กลัวค่ะ"

"อ้าว..!"

"ไม่เป็นไร..เป็นหวัดเดี๋ยวก็หาย"

พูดโดยไม่หันมองหน้า แต่เบี้ยวเห็น เบื้องหลังม่านฝนนั่นเป็นดวงตาแดงก่ำ สายน้ำที่อาบแก้มไม่ใช่แต่น้ำฝน

"คุณปิ๊กคงอยากเดินคนเดียว ผมไม่กวนแล้วนะครับ"

หญิงสาวไม่ตอบคำ ริมฝีปากบางเม้มหากันจนแก้มป่อง เบี้ยวหยุดเท้าปล่อยเธอก้าวเลยไป สายน้ำชโลมเสื้อลูกไม้ชมพูแนบเนื้อ ร่างเล็กบอบบางก้าวฝ่าสายฝนเลี้ยวตัดสวนสาธารณะไปทางซอย 5

เบี้ยววิ่งตามไปเดินข้าง ๆ อีกครั้ง หญิงสาวหันมองคราวนี้ดวงตาแดงก่ำกว่าเก่า เบี้ยวอึกอักไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่เดินไปอย่างเงียบงัน

เส้นทางในสวนสาธารณะลดเลี้ยวอ้อมสุมทุมพุ่มไม้เตี้ย ๆ ไร้ผู้คนสัญจร แน่ล่ะ..ฝนตกอย่างนี้คงไม่มีใครทะลึ่งออกมาเดินเล่น ทั้งสองจึงเป็นเจ้าของสวนฝนชั่วคราว

"ทุกวันนี้เบี้ยวทำสิ่งที่ชีวิตต้องการทำจริง ๆ หรือเปล่าคะ?" ที่สุดหญิงสาวก็เอ่ยขึ้น เบี้ยวพยักหน้า

"ทำทั้งไม่ได้ผลตอบแทนเป็นเงินทอง" เบี้ยวพยักหน้าอีก

"ทำทั้งคนที่เรารักไม่เห็นด้วย..ไม่อยากให้ทำ"

คราวนี้เบี้ยวนิ่งอึ้ง ทั้งสองเงียบไปชั่วขณะ แล้วหญิงสาวก็ถอนใจ

"ปิ๊กอยากเขียนหนังสือ" เธอบอก "แต่แม่ไม่ชอบ แม่บอกว่าเสียเวลา เขียนไปก็ไม่ได้เงิน"

"เอ่อ.." คำพูดเป็นอะไรที่นิสัยเหมือนไอ้จูไม่มีผิด บางครั้งเมื่อไม่ต้องการมันกลับโผล่ได้โผล่ดี แต่เวลาต้องการตัวขึ้นมากลับหายหัว พูดอะไรไม่ออก

"บางคนบอกว่าชีวิตเป็นของเรา ใช้ชีวิตหรือปล่อยให้ชีวิตใช้เราเป็นสิทธิที่เราเลือกเอง" หญิงสาวกล่าวต่อ "แต่ปิ๊กไม่รู้จะเลือกอย่างไร เลือกไปก็เหมือนทำร้ายจิตใจคนที่เรารัก..ปิ๊กไม่รู้จะทำอย่างไรจริง ๆ"

"เอ่อ.." เบี้ยวพยายามเค้นคำพูดสุดฤทธิ์ "ประเด็นอาจไม่อยู่ที่การเลือกก็ได้นะครับ"

หญิงสาวหยุดเท้า เงยมองชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนตรงหน้า เบี้ยวอึกอัก อาการแข้งขาพันกันเหมือนจะกลับมากำเริบ

"พูดต่อสิคะ"

"เอ่อ.." พยายามตั้งสติ "ประเด็นน่าจะอยู่ที่รู้ประณีประนอม"

"อย่างไรคะ?"

"เราล้วนมีชีวิตเดียว แน่ล่ะ..ควรใช้ชีวิตอย่างที่ใจต้องการ แต่ก็ใช่จะไม่สนคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนที่เรารัก ทุกคนล้วนมีโลกส่วนตัว โลกที่เป็นของเราอย่างแท้จริง ตรงนั้นเป็นที่ให้เราหลบเข้าไปซุกกายเงียบ ๆ อยู่กับตัวเอง เพื่อพักผ่อนหรือเยียวยาบาดแผลจากชีวิตในสังคมซึ่งมีภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและผู้คนรอบข้างที่ต้องจัดการให้ลุล่วงด้วยดี เป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำให้ทุกคนรอบข้างพอใจ สิ่งที่เราทำก็คือ ประณีประนอม"

หญิงสาวจ้องหน้านิ่ง 

"เหมือนฝนนี่ไงครับ" เบี้ยวแบมือรองรับเม็ดฝน "หากตามใจฝนเราอาจเป็นหวัด เราจึงใช้ร่ม ยอมโดนละอองฝนบ้างนิดหน่อยแต่ก็ไม่เปียกปอนจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ"

"เบี้ยวจะบอกว่าให้ปิ๊กเขียนหนังสือต่อไปเหรอคะ?"

เบี้ยวพยักหน้า

"ทั้งรู้ว่าทำร้ายจิตใจแม่"

"คุณปิ๊กเก็บความลับได้มั้ย?" เบี้ยวกระซิบ คราวนี้หญิงสาวพยักหน้าบ้าง

"อย่าให้ท่านรู้สิครับ" เบี้ยวโยกคอ "ความคิดเป็นเหมือนน้ำ มักเลื่อนไหลไป ไม่แน่สักวันเมื่อท่านหยิบงานคุณปิ๊กอ่าน ท่านอาจน้ำตาคลอ หากงานคุณปิ๊กตีพิมพ์ ท่านจะกลับภาคภูมิใจเสียอีก"

หญิงสาวอมยิ้ม

"ทานกล้วยปิ้งมั้ย?"

เบี้ยวหยิบกล้วยปิ้งเปียกออกจากถุง เห็นหญิงสาวลังเล จึงยัดใส่ปากตัวเองเคี้ยวตุ่ย ๆ เห็นมือน้อยแบรออยู่ตรงหน้าเลยหยิบกล้วยปิ้งวางให้ ทั้งสองเดินเคี้ยวไปคุยไปในสายฝนพร่างพราย

OOO

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น