เสียงนั่นทั้งอ่อนหวาน ทั้งเปี่ยมพลังอำนาจ ผู้กล่าวสวมอาภรณ์สีม่วงสดใสคลุมทับด้วยแพรม่วงอ่อนบางเบาเผยผิวเนื้อบริเวณหน้าท้องนวลเนียน นางกล่าวจบเหล่าดรุณีที่เหลือชักอาวุธกรูเข้ารายล้อมคนแปลกหน้า
คนจรถือห่อเสบียงก้าวเท้าออกเดินเหมือนไม่เห็นอาวุธอยู่ในสายตา ไม่ได้รับคำสั่งเหล่าดรุณีมิอาจลงมือได้แต่ขยับเท้าติดตาม สตรีอาภรณ์ม่วงร้องว่า
"หยุดมันไว้!"
คนใบหน้าเปื้อนถ่านท้าวสะเอว ตวาดไปว่า
"พวกเจ้ากล้าก่อกวนในร้านเรา?"
"เราเพียงคิดสอบถามอาคันตุกะท่านนี้สักหลายคำ" สตรีอาภรณ์ม่วงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเย้ายวน ชายหางตาหยาดเยิ้มมองคนแปลกหน้า
คนใบหน้าเปื้อนถ่านแก้มแดงก่ำตวาดด้วยเสียงอันดัง "รอมันไปพ้นร้านยังไม่สาย!"
สตรีอาภรณ์ม่วงเม้มริมฝีปากครุ่นคิด ที่สุดกล่าวว่า
"ได้! พวกเราไปคอยด้านนอก"
กล่าวจบนางหันกายเดินออกจากร้าน พวกดรุณีที่เหลือเร่งฝีเท้าติดตาม คนใบหน้าเปื้อนถ่านสืบเท้าหาคนแปลกหน้าส่งเสียงกระซิบ
"ท่านเร่งหนีไปทางหลังร้าน นางแพศยานั่นร้ายกาจนัก นางต้องไม่ยินยอมปล่อยท่านไป"
"แต่ท่าน.."
"ข้าพเจ้าย่อมมีหนทางจัดการ"
"ม้าข้าพเจ้าอยู่ภายนอก"
"แปะก๊วยปราดเปรียวนางคงจูงม้าไปคอยท่านที่ด้านหลังแล้ว"
"ท่านหมายถึงทารกน้อยนั่น?"
"นางเป็นผู้ช่วยเข้มแข็งของข้าพเจ้า" คนใบหน้าเปื้อนถ่านยกมือขยี้จมูก "ท่านไปเถอะ"
คนจรประสานมือกล่าวลา สาวเท้าออกประตูหลัง
ม้าดำยืนเคี้ยวหญ้าแห้งสะบัดหางร้อนรน ฟางหญ้ามีถังน้ำใบเล็กวางข้าง ผู้ช่วยที่เข้มแข็งผู้นั้นไม่รู้อยู่ที่ใด คนจรหย่อนห่อเสบียงลงถุงข้างอานฉวยสายบังเหียนกวาดตามอง เห็นโฉมสะคราญอาภรณ์ม่วงยืนในเงามืดข้างกายมีดรุณีอุ้มผู้ช่วยที่เข้มแข็งใช้มืออุดปากไว้แนบแน่น ผู้ช่วยที่เข้มแข็งพยายามดิ้นรนสุดกำลัง ได้แต่สะบัดสองขาเปะปะกลางอากาศ
คนจรตบสีข้างม้าดำเบา ๆ ปากกล่าวาจา
"ข้าพเจ้ายังไปไม่ได้กระมัง?"
สตรีอาภรณ์ม่วงก้าวออกจากเงามืด โปรยยิ้มหยาดเยิ้ม "ไยเร่งร้อนนัก ผ่านหมู่บ้านสนธยาแวะพักสักหลายวันเป็นไร?"
"ข้าพเจ้ามีเรื่องเร่งด่วน ไม่อาจรั้งรอ ต้องเสียมรรยาทแล้ว"
สตรีอาภรณ์ม่วงทอดถอนใจ กรายมายืนใกล้ เอียงคอมองสำรวจบุรุษต่างถิ่น "คิดไปหุบเขาหัวกะโหลกไม่ง่ายดาย หากมิใช่รู้เส้นทางเที่ยงแท้มีแต่เสียเวลาเปล่า"
"ท่านรู้เส้นทาง?"
สตรีอาภรณ์ม่วงเม้มริมฝีปากบอบบาง "สถานที่นี้สกปรกเน่าเหม็น" นางชายตามองประตูหลัง "เราย้ายที่สนทนาเป็นไร?"
คนจรตอบโดยไม่ครุ่นคิด "ได้ ท่านนำทาง"
สตรีอาภรณ์ม่วงผงกศีรษะจากนั้นหันกายอ้อนแอ้นออกเดิน คนจรกระตุกสายบังเหียนก้าวเท้าช้า ๆ ตามไป ดรุณีที่กอดรัดผู้ช่วยที่เข้มแข็งพลันปล่อยมือ ผู้ช่วยที่เข้มแข็งร่วงหล่นคลุกฝุ่น ลุกลนออกวิ่ง พอถึงประตูหลังนางหันกายท้าวสะเอวชี้มือด่าตามหลังคนกลุ่มนั้น
"มารดาพวกท่านเถอะ สักวันเราจะให้พวกท่านสำนึกเสียใจ"
ดรุณีนางนั้นหันกลับมา ผู้ช่วยที่เข้มแข็งรีบวิ่งเข้าในร้าน
3
แสงโคมในครัวสลัวราง คนใบหน้าเปื้อนถ่านเก็บถ้วยจานชำระล้าง ผู้ช่วยที่เข้มแข็งวิ่งมาหยุดยืนข้างกาย คนใบหน้าเปื้อนถ่านหยิบตะหลิวลงมือล้าง
"คนต่างถิ่นผู้นั้นไปแล้ว?" ถามโดยไม่หันมอง
ผู้ช่วยที่เข้มแข็งผงกศีรษะ คนใบหน้าเปื้อนถ่านย่อมไม่ได้ยินคำตอบ นางหันมาเลิกคิ้วมองผู้ช่วยที่เข้มแข็งที่ยามนี้ใบหน้านอกจากเปื้อนเถ้าถ่านยังคลุกฝุ่น
"เจ้าคงหิวมาก?"
"มันไปแล้ว" ผู้ช่วยที่เข้มแข็งกล่าวเม้มริมฝีปากทำท่าจะร่ำไห้ "ตามนางแพศยาไป"
คนใบหน้าเปื้อนถ่านก้มตัวถลึงตา "เจ้าว่าอะไร!?"
"มันติดตามนางแพศยาไป" ผู้ช่วยที่เข้มแข็งกล่าวซ้ำ
คนใบหน้าเปื้อนถ่านทอดถอดใจ วางตะหลิวกระแทกโต๊ะ "แล้วกันไปเถอะ เราช่วยเหลือมันสมราคาที่จ่ายแล้ว"
4
สถานที่เป็นสถานที่โอ่โถง
ผนังก่อด้วยดินฉาบสีธรรมชาติ
มีโคมประดับประดาตรงตำแหน่งเหมาะสม
ไม่ห่างไม่ชิดเกินไป
ให้แสงสว่างไม่มากไม่น้อยเกินไป
แขวนม่านแพรบางเบาสลับซับซ้อนไม่สามารถมองเห็นภายใน
สายลมราตรีโชยแผ่ว ม่านแพรพลิ้วไหว
คนจรนั่งหลับตาบนเก้าอี้ปั้นจากดินเชื่อมติดผนัง หลับตาเหมือนทุกขณะจิตล้วนมีคุณค่า เมื่อสมควรพักผ่อนพึงพักผ่อน ไม่ทราบเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ดรุณีน้อยนางหนึ่งจึงแหวกม่านเดินออกมาประสานมือกล่าวว่า
"นายหญิงให้มาเรียนเชิญ"
คนจรลืมตาขยับลุก ดรุณีนางนั้นหันกายแหวกม่านก้าวสู่ภายใน คนจรสืบเท้าตาม เดินผ่านม่านบางเบาชั้นแล้วชั้นเล่า แสงโคมส่องจับริ้วแพรนวลตา กลิ่นหอมอบอวลคล้ายส่วนผสมของบุปผชาตินานาพันธุ์ค่อยทวีกรุ่นทีละน้อย
ดรุณีนางนั้นมาหยุดยืนผายมือที่เก้าอี้ดินปั้นอีกชุด บนโต๊ะดินวางไว้ด้วยเหยือกโลหะทรงสูงคอคอดกิ่วลวดลายสลักของช่างเปอร์เซีย มีถ้วยใบน้อยเข้าชุดวางอยู่ข้างเคียง บนจานเงินแวววาวเป็นผลไม้รูปทรงสีสันแปลกตาที่คนจรไม่เคยพบเห็นมาก่อน
"เจ้าออกไป" เสียงกังวานใส อ่อนหวาน เปี่ยมพลังอำนาจดังจากหลังม่านแพร ดรุณีน้อยโน้มศีรษะย่อกายถอยออกไป
"สถานที่เช่นนี้คงว่ากล่าวได้แล้วกระมัง?" คนจรยืนหน้าเก้าอี้ดินมองผ่านม่านแพรเห็นภายในเลือนราง มีสายน้ำไหลลงจากผนังยินเสียงคล้ายท่วงทำนองดนตรี เบื้องล่างเป็นแอ่งน้ำลอยด้วยกลีบบุปผชาติหลากสีสัน โฉมสะคราญผู้นั้นลอยคอเหนือมวลกลีบบุปผา เนียนเนื้อเนินปทุมถันสะท้อนแสงโคมวาวเงาราวไข่มุกหยก
"ข้าพเจ้าจัดสุราจากเปอร์เซียไว้ต้อนรับ ลองลิ้มชิมรสหน่อยเป็นไร?" เสียงนางสดใสกังวาน
"ข้าพเจ้าไม่ดื่มสุรา"
"ท่านเป็นบุรุษ?"
คนจรปิดปากไม่ยินยอมกล่าวมากความ เสียงจากหลังม่านแพรกล่าวอีกว่า
"บุรุษที่ไม่ดื่มสุราคล้ายขาดความเร้ารึงใจอยู่เล็กน้อย"
"สตรีที่ไม่รักนวลสงวนตัวไยมิใช่ขาดความเร้ารึงใจยิ่งกว่า"
ยินเสียงหัวร่อฮาฮากังวานใส ม่านแพรไหวพะเยิบ
"หวังว่าดาบท่านจะคมกว่าลมปาก" น้ำเสียงไพเราะเสนาะโสตกล่าวทั้งรอยยิ้ม "ไยท่านไม่นั่งสนทนาเป็นเพื่อนข้าพเจ้าสักครู่"
คนจรยังยืนนิ่ง กล่าวว่า
"ข้าพเจ้าติดตามท่านเพราะเพื่อสอบถามหนทางไปหุบเขาหัวกะโหลก"
"ทั้งทราบว่าไม่มีหนทางรอดกลับมาท่านยังคิดไป?"
"นั่นย่อมเป็นเรื่องของข้าพเจ้า"
"ท่านนอกจากไม่ดื่มสุราแล้วคล้ายมิรู้จักเอาใจอิสตรีสักน้อยนิด"
"หากไม่มีถ้อยคำว่ากล่าวข้าพเจ้าได้แต่ลาแล้ว"
เสียงสดในกังวานหัวร่อคิกคัก "บุรุษในใต้หล้าไยหลอกลวงง่ายดายนัก ข้าพเจ้าเพียงยินท่านสนทนาเรื่องหุบเขาหัวกะโหลกกับนางโสโครกนั่นจึงหยิบฉวยมาเกี่ยวเบ็ด มิคาดคิดท่านฮุบเหยื่อโดยง่ายดาย อย่าว่าแต่ ท่านติดตามมาคงมิใช่เพียงเพราะหนทางไปหุบเขาหัวกะโหลกกระมัง?"
"คนที่ยินยอมให้ท่านหลอกลวง เป็นเพราะมันเชื่อถือท่าน" คนจรความจริงมิคิดกล่าวมากความ แต่ครานี้คงนอกเหนือกฏเกณฑ์ มันกล่าวอีกว่า "เมื่อท่านกล่าววาจาลวงหลอกผู้คน คนที่ท่านทำร้ายมิใช่พวกมันแต่เป็นตัวท่านเอง ท่านทำลายความเชื่อถือที่ผู้คนมีให้ อย่าว่าแต่ ที่ข้าพเจ้าติดตามย่อมไม่เกี่ยวข้องใด.." มันยั้งวาจาเพียงนั้น สำนึกว่ากล่าวมากความ ยิ่งมายิ่งตกหลุมที่นางขุดไว้ มันยกมือประสาน "ขอลา"
เสียงกังวานใสจากหลังม่านบางกล่าวอย่างหยาดเยิ้ม "ไม่เคยมีบุรุษก้าวออกจากที่นี้ โดยข้าพเจ้ายังมิยินยอมสักผู้คน ท่านเองคงไม่นอกเหนือกฎเกณฑ์กระมัง"
คนจรคล้ายไม่ได้ยินถ้อยคำหันกายก้าวเท้าออกเดิน เสียงกังวานใสกล่าวว่า
"เอาเถอะ เช้าวันพรุ่งข้าพเจ้าจะให้คนนำทางท่านสักระยะ จากนั้นท่านเดินทางต่ออีกไม่นานก็ถึงหุบเขาหัวกะโหลก"
นางก้าวขึ้นจากแอ่งน้ำ สายน้ำใสไหลผ่านร่องเนินปทุมถันเลื่อนไล้ลงโลมกาย เผยสัดส่วนรัดรึงใจอยู่หลังม่านแพร นางเอื้อมมือหยิบเสื้อคลุมบางเบาห่อเรือนร่างก้าวเท้าออกมายืนเผชิญหน้าคนต่างถิ่น ทรวงอกอวบอิ่มไหวพะเยิบ ยอดปทุมถันชมพูระเรื่อแนบเนื้อแพรชื้นชุ่ม
"เพียงสรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนมีคุณค่าแลกเปลี่ยน" นางหันกายหยิบเหยือกสุรารินใส่ถ้วยน้อย องค์เอวที่คอดกิ่วสะโพกแน่นหนันเคลื่อนไหวอยู่ในเนื้อแพรบางเบา นางยื่นจอกสุราให้คนต่างถิ่น คนจรยกมือรับถ้วย นางคว้ามือมันไว้ ปลดแพรบางร่วงหล่นลงสู่พื้น กล่าวว่า
"ท่านไม่ดื่มสุรา" จากนั้นเทสุราในมือคนต่างถิ่นรินไหลโลมไล้ปลายปทุมถัน "หากดื่มข้าพเจ้าคงไม่ฝืนกฏเกณฑ์กระมัง?"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น