ahangar3

เสียงนั่นทั้งอ่อนหวาน ทั้งเปี่ยมพลังอำนาจ ผู้กล่าวสวมอาภรณ์สีม่วงสดใสคลุมทับด้วยแพรม่วงอ่อนบางเบาเผยผิวเนื้อบริเวณหน้าท้องนวลเนียน นางกล่าวจบเหล่าดรุณีที่เหลือชักอาวุธกรูเข้ารายล้อมคนแปลกหน้า


คนจรถือห่อเสบียงก้าวเท้าออกเดินเหมือนไม่เห็นอาวุธอยู่ในสายตา ไม่ได้รับคำสั่งเหล่าดรุณีมิอาจลงมือได้แต่ขยับเท้าติดตาม สตรีอาภรณ์ม่วงร้องว่า

"หยุดมันไว้!" 

คนใบหน้าเปื้อนถ่านท้าวสะเอว ตวาดไปว่า

"พวกเจ้ากล้าก่อกวนในร้านเรา?"

"เราเพียงคิดสอบถามอาคันตุกะท่านนี้สักหลายคำ" สตรีอาภรณ์ม่วงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเย้ายวน ชายหางตาหยาดเยิ้มมองคนแปลกหน้า

คนใบหน้าเปื้อนถ่านแก้มแดงก่ำตวาดด้วยเสียงอันดัง "รอมันไปพ้นร้านยังไม่สาย!"

สตรีอาภรณ์ม่วงเม้มริมฝีปากครุ่นคิด ที่สุดกล่าวว่า

"ได้! พวกเราไปคอยด้านนอก"

กล่าวจบนางหันกายเดินออกจากร้าน พวกดรุณีที่เหลือเร่งฝีเท้าติดตาม คนใบหน้าเปื้อนถ่านสืบเท้าหาคนแปลกหน้าส่งเสียงกระซิบ

"ท่านเร่งหนีไปทางหลังร้าน นางแพศยานั่นร้ายกาจนัก นางต้องไม่ยินยอมปล่อยท่านไป"

"แต่ท่าน.."

"ข้าพเจ้าย่อมมีหนทางจัดการ"

"ม้าข้าพเจ้าอยู่ภายนอก"

"แปะก๊วยปราดเปรียวนางคงจูงม้าไปคอยท่านที่ด้านหลังแล้ว"

"ท่านหมายถึงทารกน้อยนั่น?"

"นางเป็นผู้ช่วยเข้มแข็งของข้าพเจ้า" คนใบหน้าเปื้อนถ่านยกมือขยี้จมูก "ท่านไปเถอะ"

คนจรประสานมือกล่าวลา สาวเท้าออกประตูหลัง   

ม้าดำยืนเคี้ยวหญ้าแห้งสะบัดหางร้อนรน ฟางหญ้ามีถังน้ำใบเล็กวางข้าง ผู้ช่วยที่เข้มแข็งผู้นั้นไม่รู้อยู่ที่ใด คนจรหย่อนห่อเสบียงลงถุงข้างอานฉวยสายบังเหียนกวาดตามอง  เห็นโฉมสะคราญอาภรณ์ม่วงยืนในเงามืดข้างกายมีดรุณีอุ้มผู้ช่วยที่เข้มแข็งใช้มืออุดปากไว้แนบแน่น ผู้ช่วยที่เข้มแข็งพยายามดิ้นรนสุดกำลัง ได้แต่สะบัดสองขาเปะปะกลางอากาศ

คนจรตบสีข้างม้าดำเบา ๆ ปากกล่าวาจา

"ข้าพเจ้ายังไปไม่ได้กระมัง?"

สตรีอาภรณ์ม่วงก้าวออกจากเงามืด โปรยยิ้มหยาดเยิ้ม "ไยเร่งร้อนนัก ผ่านหมู่บ้านสนธยาแวะพักสักหลายวันเป็นไร?"

"ข้าพเจ้ามีเรื่องเร่งด่วน ไม่อาจรั้งรอ ต้องเสียมรรยาทแล้ว"

สตรีอาภรณ์ม่วงทอดถอนใจ กรายมายืนใกล้ เอียงคอมองสำรวจบุรุษต่างถิ่น "คิดไปหุบเขาหัวกะโหลกไม่ง่ายดาย หากมิใช่รู้เส้นทางเที่ยงแท้มีแต่เสียเวลาเปล่า"

"ท่านรู้เส้นทาง?"

สตรีอาภรณ์ม่วงเม้มริมฝีปากบอบบาง "สถานที่นี้สกปรกเน่าเหม็น" นางชายตามองประตูหลัง "เราย้ายที่สนทนาเป็นไร?"

คนจรตอบโดยไม่ครุ่นคิด "ได้ ท่านนำทาง"

สตรีอาภรณ์ม่วงผงกศีรษะจากนั้นหันกายอ้อนแอ้นออกเดิน คนจรกระตุกสายบังเหียนก้าวเท้าช้า ๆ ตามไป ดรุณีที่กอดรัดผู้ช่วยที่เข้มแข็งพลันปล่อยมือ ผู้ช่วยที่เข้มแข็งร่วงหล่นคลุกฝุ่น ลุกลนออกวิ่ง พอถึงประตูหลังนางหันกายท้าวสะเอวชี้มือด่าตามหลังคนกลุ่มนั้น

"มารดาพวกท่านเถอะ สักวันเราจะให้พวกท่านสำนึกเสียใจ"

ดรุณีนางนั้นหันกลับมา ผู้ช่วยที่เข้มแข็งรีบวิ่งเข้าในร้าน

3

แสงโคมในครัวสลัวราง คนใบหน้าเปื้อนถ่านเก็บถ้วยจานชำระล้าง ผู้ช่วยที่เข้มแข็งวิ่งมาหยุดยืนข้างกาย คนใบหน้าเปื้อนถ่านหยิบตะหลิวลงมือล้าง 

"คนต่างถิ่นผู้นั้นไปแล้ว?" ถามโดยไม่หันมอง

ผู้ช่วยที่เข้มแข็งผงกศีรษะ คนใบหน้าเปื้อนถ่านย่อมไม่ได้ยินคำตอบ นางหันมาเลิกคิ้วมองผู้ช่วยที่เข้มแข็งที่ยามนี้ใบหน้านอกจากเปื้อนเถ้าถ่านยังคลุกฝุ่น

"เจ้าคงหิวมาก?"

"มันไปแล้ว" ผู้ช่วยที่เข้มแข็งกล่าวเม้มริมฝีปากทำท่าจะร่ำไห้ "ตามนางแพศยาไป" 

คนใบหน้าเปื้อนถ่านก้มตัวถลึงตา "เจ้าว่าอะไร!?"

"มันติดตามนางแพศยาไป" ผู้ช่วยที่เข้มแข็งกล่าวซ้ำ

คนใบหน้าเปื้อนถ่านทอดถอดใจ วางตะหลิวกระแทกโต๊ะ "แล้วกันไปเถอะ เราช่วยเหลือมันสมราคาที่จ่ายแล้ว"       

4

สถานที่เป็นสถานที่โอ่โถง
ผนังก่อด้วยดินฉาบสีธรรมชาติ
มีโคมประดับประดาตรงตำแหน่งเหมาะสม
ไม่ห่างไม่ชิดเกินไป
ให้แสงสว่างไม่มากไม่น้อยเกินไป
แขวนม่านแพรบางเบาสลับซับซ้อนไม่สามารถมองเห็นภายใน
สายลมราตรีโชยแผ่ว ม่านแพรพลิ้วไหว

คนจรนั่งหลับตาบนเก้าอี้ปั้นจากดินเชื่อมติดผนัง หลับตาเหมือนทุกขณะจิตล้วนมีคุณค่า เมื่อสมควรพักผ่อนพึงพักผ่อน ไม่ทราบเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ดรุณีน้อยนางหนึ่งจึงแหวกม่านเดินออกมาประสานมือกล่าวว่า

"นายหญิงให้มาเรียนเชิญ"

คนจรลืมตาขยับลุก ดรุณีนางนั้นหันกายแหวกม่านก้าวสู่ภายใน คนจรสืบเท้าตาม เดินผ่านม่านบางเบาชั้นแล้วชั้นเล่า แสงโคมส่องจับริ้วแพรนวลตา กลิ่นหอมอบอวลคล้ายส่วนผสมของบุปผชาตินานาพันธุ์ค่อยทวีกรุ่นทีละน้อย

ดรุณีนางนั้นมาหยุดยืนผายมือที่เก้าอี้ดินปั้นอีกชุด บนโต๊ะดินวางไว้ด้วยเหยือกโลหะทรงสูงคอคอดกิ่วลวดลายสลักของช่างเปอร์เซีย มีถ้วยใบน้อยเข้าชุดวางอยู่ข้างเคียง บนจานเงินแวววาวเป็นผลไม้รูปทรงสีสันแปลกตาที่คนจรไม่เคยพบเห็นมาก่อน

"เจ้าออกไป" เสียงกังวานใส อ่อนหวาน เปี่ยมพลังอำนาจดังจากหลังม่านแพร ดรุณีน้อยโน้มศีรษะย่อกายถอยออกไป 

"สถานที่เช่นนี้คงว่ากล่าวได้แล้วกระมัง?" คนจรยืนหน้าเก้าอี้ดินมองผ่านม่านแพรเห็นภายในเลือนราง มีสายน้ำไหลลงจากผนังยินเสียงคล้ายท่วงทำนองดนตรี เบื้องล่างเป็นแอ่งน้ำลอยด้วยกลีบบุปผชาติหลากสีสัน โฉมสะคราญผู้นั้นลอยคอเหนือมวลกลีบบุปผา เนียนเนื้อเนินปทุมถันสะท้อนแสงโคมวาวเงาราวไข่มุกหยก 

"ข้าพเจ้าจัดสุราจากเปอร์เซียไว้ต้อนรับ ลองลิ้มชิมรสหน่อยเป็นไร?" เสียงนางสดใสกังวาน

"ข้าพเจ้าไม่ดื่มสุรา"

"ท่านเป็นบุรุษ?"

คนจรปิดปากไม่ยินยอมกล่าวมากความ เสียงจากหลังม่านแพรกล่าวอีกว่า

"บุรุษที่ไม่ดื่มสุราคล้ายขาดความเร้ารึงใจอยู่เล็กน้อย"

"สตรีที่ไม่รักนวลสงวนตัวไยมิใช่ขาดความเร้ารึงใจยิ่งกว่า"

ยินเสียงหัวร่อฮาฮากังวานใส ม่านแพรไหวพะเยิบ

"หวังว่าดาบท่านจะคมกว่าลมปาก" น้ำเสียงไพเราะเสนาะโสตกล่าวทั้งรอยยิ้ม "ไยท่านไม่นั่งสนทนาเป็นเพื่อนข้าพเจ้าสักครู่" 

คนจรยังยืนนิ่ง กล่าวว่า

"ข้าพเจ้าติดตามท่านเพราะเพื่อสอบถามหนทางไปหุบเขาหัวกะโหลก"

"ทั้งทราบว่าไม่มีหนทางรอดกลับมาท่านยังคิดไป?"

"นั่นย่อมเป็นเรื่องของข้าพเจ้า"

"ท่านนอกจากไม่ดื่มสุราแล้วคล้ายมิรู้จักเอาใจอิสตรีสักน้อยนิด"

"หากไม่มีถ้อยคำว่ากล่าวข้าพเจ้าได้แต่ลาแล้ว"

เสียงสดในกังวานหัวร่อคิกคัก "บุรุษในใต้หล้าไยหลอกลวงง่ายดายนัก ข้าพเจ้าเพียงยินท่านสนทนาเรื่องหุบเขาหัวกะโหลกกับนางโสโครกนั่นจึงหยิบฉวยมาเกี่ยวเบ็ด มิคาดคิดท่านฮุบเหยื่อโดยง่ายดาย อย่าว่าแต่ ท่านติดตามมาคงมิใช่เพียงเพราะหนทางไปหุบเขาหัวกะโหลกกระมัง?"

"คนที่ยินยอมให้ท่านหลอกลวง เป็นเพราะมันเชื่อถือท่าน" คนจรความจริงมิคิดกล่าวมากความ แต่ครานี้คงนอกเหนือกฏเกณฑ์ มันกล่าวอีกว่า "เมื่อท่านกล่าววาจาลวงหลอกผู้คน คนที่ท่านทำร้ายมิใช่พวกมันแต่เป็นตัวท่านเอง ท่านทำลายความเชื่อถือที่ผู้คนมีให้ อย่าว่าแต่ ที่ข้าพเจ้าติดตามย่อมไม่เกี่ยวข้องใด.." มันยั้งวาจาเพียงนั้น สำนึกว่ากล่าวมากความ ยิ่งมายิ่งตกหลุมที่นางขุดไว้ มันยกมือประสาน "ขอลา"

เสียงกังวานใสจากหลังม่านบางกล่าวอย่างหยาดเยิ้ม "ไม่เคยมีบุรุษก้าวออกจากที่นี้ โดยข้าพเจ้ายังมิยินยอมสักผู้คน ท่านเองคงไม่นอกเหนือกฎเกณฑ์กระมัง"

คนจรคล้ายไม่ได้ยินถ้อยคำหันกายก้าวเท้าออกเดิน เสียงกังวานใสกล่าวว่า

"เอาเถอะ เช้าวันพรุ่งข้าพเจ้าจะให้คนนำทางท่านสักระยะ จากนั้นท่านเดินทางต่ออีกไม่นานก็ถึงหุบเขาหัวกะโหลก"

นางก้าวขึ้นจากแอ่งน้ำ สายน้ำใสไหลผ่านร่องเนินปทุมถันเลื่อนไล้ลงโลมกาย เผยสัดส่วนรัดรึงใจอยู่หลังม่านแพร นางเอื้อมมือหยิบเสื้อคลุมบางเบาห่อเรือนร่างก้าวเท้าออกมายืนเผชิญหน้าคนต่างถิ่น ทรวงอกอวบอิ่มไหวพะเยิบ ยอดปทุมถันชมพูระเรื่อแนบเนื้อแพรชื้นชุ่ม 

"เพียงสรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนมีคุณค่าแลกเปลี่ยน" นางหันกายหยิบเหยือกสุรารินใส่ถ้วยน้อย องค์เอวที่คอดกิ่วสะโพกแน่นหนันเคลื่อนไหวอยู่ในเนื้อแพรบางเบา นางยื่นจอกสุราให้คนต่างถิ่น คนจรยกมือรับถ้วย นางคว้ามือมันไว้ ปลดแพรบางร่วงหล่นลงสู่พื้น กล่าวว่า

"ท่านไม่ดื่มสุรา" จากนั้นเทสุราในมือคนต่างถิ่นรินไหลโลมไล้ปลายปทุมถัน "หากดื่มข้าพเจ้าคงไม่ฝืนกฏเกณฑ์กระมัง?" 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น