อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านสาย
เก็บความยินดีใส่ขวดโหล่แช่อิ่มเสียหลายวัน เนื่องเพราะครุ่นคิดปะติดปะต่อเรื่องที่เริ่มไว้ไม่ลงตัว ไปทางโน้นก็ไม่ดีมาทางนี้ก็ไม่งาม มิพักกล่าวถึงเนื้อหาที่ยังไม่รู้หน้ารู้หลัง กระทั่งฉายานามพวกเขาเหล่านั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้จักสักรายชื่อ
กระทาชายนายสตีวี่ผู้รจนา On Writing เล่มเล็ก ๆ ให้หนอนน้อยอย่างเราท่านได้เข้าใจกระบวนการเขียนเสียยิ่งกว่าตำราว่าด้วยการประพันธ์หลายร้อยหน้า เอ่ยอ้างไว้ว่า 'การเขียนเป็นคล้ายขุดวัตถุโบราณ จะต้องค่อย ๆ แซะหน้าดินออก โดยที่ยังไม่รู้ว่าข้างใต้เป็นอะไร ค่อย ๆ ปัด ๆ แซะ ๆ ไปเรื่อย ๆ รูปร่างจะปรากฏขึ้นมาช้า ๆ'
บั้นต้นข้าพเจ้าค่อนข้างเห็นคล้อย
ด้วยเพราะหลายครั้งคล้ายเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เขียนดุ่มมาไม่รู้เลยว่าเรื่องราวข้างหน้าเป็นอย่างไร (ดังท่านเห็น โดยมากถอดใจหยุดขุดเสียกลางคันเพราะเริ่มขุดไม่ลง ความสนุกเมื่อเริ่มลงมือชักหดหาย) อีกการที่ได้สัมผัสวัตถุแข็ง ๆ ใต้ชั้นดิน เพียงปัดผงดินออกเบา ๆ พบผิววัตถุก็เร้าความสนใจใคร่รู้ว่าเป็นอะไร? รูปร่างอย่างไร? เล็กใหญ่แค่ไหน? การได้สัมผัสได้มั่นใจว่ามีวัตถุอยู่ใต้ผิวดิน ช่วยกระตุ้นเรี่ยวแรงในการลงมือขุดมิน้อย
ต่อมาข้าพเจ้าคิดเห็นไปทางต่าง รู้สึกคล้ายวัตถุที่ว่ามิใช่ของแข็งเลย
กลับเป็นคล้ายน้ำ เป็นของเหลวที่สามารถเปลี่ยนรูปทรง ยากควบคุม ประกอบขึ้นด้วยพื้นผิวที่บอบบางถูกทำลายโดยง่าย น้ำที่คิดว่าเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างก็พานสูญหาย
มาบัดนี้ ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจว่าที่พ่อเจ้าประคุณยอดชายนายสตีวี่กล่าวเช่นนั้นเป็นทัศนะของช่างอักขระที่ทักษะอยู่มือ หยิบจับอุปกรณ์ชิ้นใดสามารถใช้งานได้ดังใจ วัตถุโบราณใต้ชั้นดินจึงเป็นของแข็ง ไม่เปลี่ยนรูปทรงเหลวไหลกระทั่งซึมเซาะผิวดินสูญหายไปเยี่ยงนายช่างน้อยมือต๊อกต๋อยอย่างข้าพเจ้าลงมือขุด
โบราณวัตถุที่ว่าจะเป็นสถานะใดคงขึ้นกับทักษะผู้ขุด เมื่อสั่งสมประสบการณ์มากขึ้นการขุดก็คงกระทำโดยปราณีตละเอียดลึกซึ้งขึ้น ใช้อุปกรณ์คล่องมือขึ้น วัตถุโบราณที่ได้ก็จะไร้ริ้วรอยแตกหัก เป็นวัตถุโบราณชิ้นสมบูรณ์ยืนอวดโฉมต่อสาธารณะชน บอกเล่าเรื่องราว แลกเปลี่ยนสุนทรียรสกับผู้คนที่หยุดชม
ทักษะที่ว่าไม่มีทางใดเลยได้มา นอกไปจากลงมือขุดครั้งแล้วครั้งเล่า ล้มเหลวหนแล้วหนเล่า ขุดโดยไม่หยุดหย่อนย่อท้อ
ฝึกเขียนนิยายจบหนึ่งเรื่อง ผ่านเรื่องราวมากหลายเหลือเกิน ผ่านอุปสรรคตั้งแต่ท้องหิวเกินไปจนถึงอิ่มเกินไป ผ่านเหตุวิปริตแปรเปลี่ยนของโลก ของชะตากรรม ยังต้องต่อสู้กับทักษะจำกัดจำเขี่ยของพลังสร้างสรรค์ที่ยังไม่เข้ารูปเข้ารอย นำตัวละครเดินทางไปต่อไม่ได้ คิดอย่างไรก็ไม่ออก กระทั่งบางครั้งแทบเอาหัวพุ่งชนก้อนเต้าหู้ เฝ้าถามตัวเองว่าเมื่อไรความทุกข์ทรมานแสนสุขนี้จะจบสิ้นเสียที
ครั้นถึงบรรทัดสุดท้าย เขียนคำ 'จบ' ลงที่กลางหน้า ย้อนกลับดูหลายหมื่นตัวอักษรที่ร่วมทางกันมา
โบราณวัตถุชิ้นหนึ่งถูกหยิบยกขึ้นจากผิวดิน บัดนี้สามารถมองเห็นเป็นรูปทรง พลิกซ้าย-ขวา พินิจพิจารณา อุ่นไอดินอยู่ในอุ้งมือ พลังอุตสาหะวิริยะทั้งมวลซุกซ่อนอยู่ภายใน ยังเหลือเศษดินที่ฝังเกาะในร่องลึกของรายละเอียดที่จะต้องปัดเป่า งานนี้ยังต้องใช้เวลาอีกระยะ ต้องอาศัยความละเอียดสุขุมอีกระดับ
ที่สำคัญคือความคุ้นเคยทำให้เรามองข้ามรายละเอียด จึงจำต้องใช้สายตาคนแปลกหน้าพิจารณา เก็บชิ้นวัตถุที่ได้ใส่ลิ้นชักล็อกกุญแจหันไปลงมือขุดชิ้นต่อไปคั่นเวลา ลืมมันสักระยะ จนเมื่อกลับมามองด้วยสายตาเหมือนพบกันครั้งแรก จึงลงมือปัดเป่า ขัดเกลารายละเอียด
โบราณวัตถุก็จะเปล่งประกายพร้อมนำอวดสายตาผู้คน
นายสตีวี่แสดงให้เห็นธรรมชาติและความสัมพันธ์ระหว่างนิยายกับคนเขียน ผ่านหนังสือเล่มเล็ก ๆ ให้คุณประโยชน์กับนักหัดเขียนมากมายก็จริง แต่มิใช่ตำราเขียนนิยาย ไม่สามารถทำให้ใครเขียนนิยายได้
ตำราเขียนนิยายที่แท้ยังคือ เขียนนิยายให้จบสักเรื่อง
หลักเขียนทุกอย่างบรรจุอยู่ในนั้น ทุกบททดสอบ ทุกข้อข้องใจ ทุกคำถาม ทุกคำตอบ เป็นคู่มือเขียนชั้นดี กระทั่งถึงบรรทัดสุดท้าย หลักสูตรว่าด้วยการเขียนนิยายเป็นอันจบครบกระบวนความ
ยังมีนักอยากเขียนอีกมากที่เพียงแต่อยากไม่เคยลงมือเขียน ยังมีนักหัดเขียนอีกหลายที่มุ่งเพียรหัดแต่ยังไม่สามารถจบนิยายสักเรื่อง กระทั่งนักเขียนมือรางวัล มืออาชีพบางท่านก็ยังมีความฝันอยากได้นิยายของตัวสักเล่ม จนแล้วจนรอดยังไม่อาจเขียนให้จบสักเรื่อง
ท่านเดินทางมาถึงที่หมายแล้ว มีนิยายของตัวเองแล้ว (ข้าพเจ้าไม่สนใจเรื่องตีพิมพ์นะ ในทัศนะข้าพเจ้าตีพิมพ์เป็นเรื่องของช่างพิมพ์ไม่ใช่เรื่องของช่างเขียน) สำหรับกับข้าพเจ้าจากนี้ไปท่านคือ 'นักเขียน'
ข้าพเจ้าชมชอบท่านที่เปิดใจกว้างพร้อมรับรู้ ถ่อมตน ไม่อวดโอ่เป็นน้ำล้นถ้วย (ทั้งที่มีดีให้อวด) ถึงท่านจะพยายามมุดลงใต้ดินย่ำยีตนเองให้เป็นไส้เดือนกิ้งกือ ข้าพเจ้าก็ยังเห็นท่านเป็นผีเสื้ออักษรที่โบยบินด้วยปีกอันแข็งแรง ผสมเกสรให้ดอกไม้อักษรผลิดอกผลเติบโตต้นแล้วต้นเล่า
แน่ล่ะ..
ข้าพเจ้าจะเอื้อมมือเด็ดผลไม้นั่งเคี้ยวอยู่โคนต้น ยลชมผีเสื้ออักษรแสนสวยบินวน ยลชมอย่างสบายอารมณ์ยิ่ง
ริมน้ำ เงาไม้ และสายลม
ธุลีดิน
ว้าว !...นักเขียน!
ตอบลบข้าพเจ้าขอลอยลมไปสักสองวันนะทั่นนะ
แล้วจะกลับมาวันเสาร์
ลา..ลัล..ลา...วี้ด..วิ้ว..
เหอะๆๆ 'นักเขียน' ชอบจัง
แฮ่..ขออย่าได้ถือเป็นคำชมนา เรื่องคำ 'นักเขียน' เนี่ยยาว 'นักเขียน' ของข้าพเจ้าอาจต่างจากความหมายที่ผู้คนใช้กัน
ตอบลบอันที่จริง ข้าพเจ้าชอบคำ Novelist ของฝาหรั่ง แต่ไม่รู้จะใช้คำสยามว่าไร
เจอกัลล์วันเสาร์ขะรับ
หัวฟูฟ่องสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านดิลล์ที่เคารพ
ตอบลบท่านนี่ไม่ไหวเลย หลอกให้ข้าพเจ้าแปลงร่างเป็นลูกโป่งแล้วจะปล่อยให้ลอยไปถึงขอบสวรรค์หน่อยก็ไม่ได้ ต้องรั้งให้ค้างต่องแต่งอยู่แค่ปลายเสาไฟ เซ็งเลย..
เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปตีสี่แน่ะ นั่งเกลานิยายกันจนตาฉ่ำ แต่ก็เดินทางไปถึงอักษรตัวสุดท้ายจนได้ ก็แน่ล่ะสิ จะไม่ถึงได้ไง ข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่าถ้าอ่านไม่จบจะไม่ยอมนอนเด็ดขาด แม้วันนี้ต้องทำงานก็เถอะ ก็จะยอมแบกหน้าเอาตากลวงโบ๋นั่นแหละมาทำ
ท่านอาจสงสัยว่าทำไมต้องรีบเกลาซะเร็วจี๋ขนาดนั้น เพิ่งเขียนจบไปหยกๆ เรื่องของเรื่องคือข้าพเจ้าจะส่งไปให้เพื่อนอ่านต้นฉบับให้เจ้าค่ะ เลยต้องตรวจสอบความเรียบร้อยอีกรอบ และจริงๆ ถึงจะไม่ส่งไปให้เพื่อนอ่าน ข้าพเจ้าก็ตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าถ้าเขียนจบปุ๊บ จะอ่านทวนปั๊บดูความเรียบร้อยต่างๆแล้วก็ยัดใส่ลิ้นชักเซกู๊ดบายกับมันสักพัก
สี่วันที่ผ่านมา ก็ถือว่าได้ทำอย่างที่ตั้งใจ
ทวนอ่านคราวนี้ เกลาไปเกลามาจนมันหดไปสี่หน้า แต่ดูนวลเนียนเสลาเกลากลึงขึ้นเป็นกองเลยเชียวแหละ ถ้าท่านได้อ่านนะ มีหวังต้องนั่งอ้าปากหวอ พร้อมรำพึงในใจ "หู! เขียนได้ดีโค-ต-ร สุดยอด!"(คิดอยู่ล่ะสิ ท่านรำพึงในใจ แล้วไยข้าพเจ้าถึงรู้ ก็ข้าพเจ้ารู้ใจท่านไงล่ะ อิอิ)
ท่านมักกล่าวถึงพ่อยอดชายนายสตีวี่บ่อยๆ ข้าพเจ้าก็คิดว่าท่านคงชื่นชมพ่อเจ้าประคุณมากอยู่ แต่บอกตามตรง ข้าพเจ้าเพิ่งมารู้จักชื่อพ่อยอดชายนายคนนี้ก็ผ่านท่านนี่แหละ กระนั้นก็ยังหาได้ให้ความสนใจใดๆ แม้สักนิด ราวท่านกรอกใส่หูซ้ายมันก็ทะลุทะลวงผ่านบ้องหูขวาแหวกอากาศออกไปไกลลิบตา ไม่มีเลยที่จะเลี้ยวหลบซิกแซกเข้าหยักสมองใดๆ
จนกระทั่งครั้งนี้!
'การเขียนเป็นคล้ายขุดวัตถุโบราณ จะต้องค่อย ๆ แซะหน้าดินออก โดยที่ยังไม่รู้ว่าข้างใต้เป็นอะไร ค่อย ๆ ปัด ๆ แซะ ๆ ไปเรื่อย ๆ รูปร่างจะปรากฏขึ้นมาช้า ๆ'
มันตรงกับความรู้สึกจริงๆ เลยทั่น เห็นทีถ้ามีโอกาสข้าพเจ้าคงต้องหาหนังสือ On Writing ที่ท่านชอบเอ่ยถึงนี่ มายลกันสักทีเสียแล้ว
นิยายที่ข้าพเจ้าเขียนก็มาจากความไม่รู้หน แรกเริ่มเดิมทีมีเพียงม่านหมอกปกคลุมอยู่หนาแน่น ข้าพเจ้านั่งมองหมอกหนานั้น ก็มองว่ามันสวยดี ยิ่งมองนานๆ ยิ่งรู้สึกมันลึกลับ น่าค้นหา อยากรู้ว่าภายใต้หมอกหนานั้นจะมีอะไรซ่อนอยู่มั้ย นั่งมองไปจนกระทั่ง...แสงแดดส่องต้องหมอกสลาย แล้วพลัน ภาพที่ปรากฏ งดงามกว่าหมอกหนาเหลือคณานัป ไม่ผิดหวังที่นั่งมอง แม้จะใช้เวลาถึงสองปี! ^^!
สองร้อยกว่าหน้าที่ดุ่มด้นเขียนมาทั้งหมด เชื่อมั้ย? ถ้าข้าพเจ้าจะบอกว่า มีเพียงแค่ยี่สิบห้าสุดท้ายเท่านั้นที่ทุกอย่างแจ่มจัดอยู่ในสมองก่อนจะแปรเปลี่ยนมาเป็นตัวอักษรจากปลายนิ้ว ส่วนอีกสองร้อยยี่สิบกว่าหน้าที่เหลือนะเหรอ ต่อเมื่อนั่งอยู่หน้าแป้นพิมพ์นั่นแหละ รูปร่างต่างๆถึงสำแดงตัวตนออกมา...จากความไม่มีอะไรเลย
แต่นี่แน่ะทั่นดิลล์ ถ้าท่านขุดหาวัตถุโบราณแต่สิ่งที่พบกับเป็นของเหลวไร้รูปทรงแน่นอน ข้าพเจ้าว่าดีออก ขุดไปเรื่อยๆท่านอาจได้เจอตาน้ำที่ชุ่มฉ่ำก็เป็นได้นา นั่นจะไม่ชื่นกายชื่นใจกว่าการพบสิ่งประดิษฐ์เสื่อมโทรมแค่เพียงชิ้นหรือท่าน?
จากนิยายที่ข้าพเจ้าอ่านทวนตลอดสี่วันที่ผ่าน ทำให้ข้าพเจ้าค้นพบอะไรบางอย่าง
บางเรื่อง บางฉาก บางตอน บางข้อความ หรือแม้แต่บางคำ ทั้งที่ข้าพเจ้าเป็นคนเขียนเองกับมือ กลับต้องประหลาดใจว่าเขียนมาออกมาได้ยังไง มันดีจนไม่อยากจะเชื่อว่าข้อความเหล่านั้นจะออกมาจากรอยหยักน้อยนิดที่มีอยู่ในหัว
บางบทสนทนา บางบทบรรยาย ผสมผสานกันอย่างเหมาะเจาะลงตัว เชื่อแน่ว่าถ้าให้กลับไปเขียนอีกครั้ง คิดกันให้ตาย ก็ไม่มีวันได้อย่างที่มันเป็น
ใช่ไหมว่า งานเขียนจะดีแค่ไหน ขึ้นอยู่กับเวลาและอารมณ์ของผู้เขียน?
นักเขียนนิยายมีชื่อเสียงคนหนึ่ง เขียนนิยายออกมาร้อยเรื่อง เป็นไปไม่ได้ที่มันจะดีทั้งร้อยเรื่อง และไม่จำเป็นว่าเรื่องที่ร้อยจะเป็นเรื่องที่ดีทีสุด บางทีในบรรดาร้อยเรื่องนั้นอาจเป็นเรื่องแรกที่งดงามลงตัวที่สุด ใครจะรู้
ขอบคุณความยินดีจากท่านที่แปรเปลี่ยนมาเป็นบทความให้ละเลียดอ่าน ซึมซับ ซาบซึ้ง ตราตรึงในความรู้สึกเจ้าค่ะ มีมิตรร่วมทางมันดีอย่างนี้เอง
ข้าพเจ้าดีใจที่ได้ร่วมทางกับท่าน
แม้ต้องเดินโซซัดโซเซไปบนความเปลี่ยวไร้ ล้มลุกคลุกคลานบ้างในบางหน แค่รู้ว่ามีมืออุ่นๆ คู่หนึ่งคอยพยุงเมื่อล้ม ส่งสัมผัสด้วยความปลาบปลื้มยินดีไปกับรอยก้าวเล็กๆ ของเรา ยังมีสิ่งใดมีค่าไปมากกว่านี้อีกบนหนทางเดียวดายที่เราเลือกเดิน
(ต่อ)
ตอบลบและอีกหนึ่งคำขอบคุณสำหรับความ 'ชมชอบ' ที่ท่านมีให้แด่สหายน้อยๆ ของท่าน
รู้มั้ย ทำไมข้าพเจ้าถึงได้คบหากับท่านมาตลอดเวลาอันยาวนาน? รู้มั้ย ทำไมข้าพเจ้าถึงแวะเวียนมาคุยกับท่านโดยไม่มีเบื่อหน่าย? รู้มั้ย ทำไมข้าพเจ้าถึงสนิทใจที่จะคุยกับท่านด้วยเรื่องราวร้อยล้านสารพันประการ?
เพราะ...
'ข้าพเจ้าชมชอบท่านที่เปิดใจกว้างพร้อมรับรู้ ถ่อมตน ไม่อวดโอ่เป็นน้ำล้นถ้วย(ไม่ว่าท่านจะมีหรือไม่มีดีให้อวด)'
มิตรดีย่อมสะท้อนคุณงามความดีสู่มิตรของเขา ฉะนั้นท่านชมชอบข้าพเจ้าเท่าไหร่ ขอท่านจงชมชอบตัวเองให้ยิ่งกว่าเถิด
ด้วยรักท่านดิลล์ที่เคารพ
สายลม
ปล. รู้มั้ย ทำไมนิยายของข้าพเจ้าถึงจบได้? นั่น หูผึ่งขึ้นมาเชีย!
ก็ข้าพเจ้ารับบทเป็นนางเอกไง เขียนไม่จบ ความรักของข้าพเจ้าก็ค้างๆ คาๆ สิ ยอมได้ไง หุหุ
ปล.2 อ่านจบรอบแรกแล้วรบกวนสแกนรอบสองให้อีกครั้ง ว่ามีน้ำตาลเล็ดลอดเข้ามาบ้างหรือเปล่า ข้าพเจ้าเกรงพ่อเสือซุ่มทั้งหลายที่ย่างตีนอยู่แถวชายป่า จะเป็นโรคเบาหวานตายกันหมด ฮ่า ฮ่า เอิ๊ก.
อิ่มอักษรภาษาท่านแทบไม่ต้องกินมื้อเที่ยงสวัสดิ์ขะรับท่านอาคันตุ๊ต๊ะประจำของขนำมอซอ
ตอบลบข้าพเจ้ายังคิดไม่ออกเลยว่าขนำน้อยนี่หากมิมีท่านกรุณาโผล่ปลายนิ้วมานั่งจ้อแจ้เจรจา สภาพจะเป็นเช่นไร? ข้าพเจ้ายังจะมีกะจิตกะใจแหมะโน่นนี่อีกไหม?
แม้นตั้งใจหลบสังคมผู้คนวุ่นวายมาอยู่เสียชายป่า มุ่งหวังมิต้องห่วงกังวลข้อปลีกย่อยมากความ ถนอมอักษรารมณ์ทั้งหมดไว้เพียงเพื่อปลุกปั้นปฏิมากรรมอักษร เขียนแล้วโพสท์ เขียนแล้วโพสท์เหมือนหยอดกระปุกออมสินวันละตอนวันละบทความ
แต่บางมุ่นคิดก็พลั้งถามตนเองไปว่า 'เอ็งจะเขียนไปทำไม ไม่มีใครเขาสนใจอ่านสักน้อยนิด'
ประสาปุถุชนขอรับ เมื่อกล่าววาจาก็ย่อมใคร่รู้ว่ามีผู้สดับรับฟัง ด้วยกังวลไปว่าหากขืนสุขอยู่ด้วยสนทนากับเงาตนเกรงค่อนไปทางวิกลจริตเสียข้างมาก
การเยือนของท่านช่วยรั้งจริตเจ้ากบน้อยในกะลามิให้เหลื่อมไปทางพิการพิกล ก็เพราะได้รู้ว่ามิใช่สนทนากับประตูหน้าต่าง แต่มีอาคันตุกะนั่งเกาคางอยู่ข้างประตูหน้าต่างนั่น
ช่วยให้สำนึกตนว่าเราเองก็ปุถุชน มีใจยักย้ายส่ายไหวไปตามกระแสอารมณ์ ยักเสร็จก็ย้ายกลับคืนเข้าที่อันสมควรเป็นเพียงพอ
ท่านเข้าใจคิดต่อนะขอรับ ขุดไปจนพบตาน้ำเป็นอุปมาอุปไมยที่ให้ภาพแจ่มชัด น้อมรับไว้ด้วยจิตคารวะ
ส่วนอีตาสตีวี่ข้าพเจ้ามิได้ชื่นชมอะไรนักหนาดอกขะรับ แค่ไม่มีใครให้ชื่นชมเท่านั้นเอง (ก็ไม่รู้จักใครเลยนี่นา) พอดีช่วงหลังมานี่ข้าพเจ้าเอากล่องเครื่องมือของแกส่งลงก้าวฯ ถือเสียว่าครึ่งเดือนหยิบมาอ่านทบทวนเสียที อ่านแล้วก็มักมีเรื่องค้างในขมองให้คิดถึง อาจเป็นกระนี้จึงกล่าวถึงบ่อย กล่องเครื่องมือฯ ตอนนี้เป็นครั้งสุดท้ายของพ่อสตีวี่แล้ว ตะแกอาจเงียบหายไป (สักพัก) ก็เป็นได้ (On Writing เป็นประเภทที่ข้าพเจ้าเก็บรักษาไว้ไม่ให้ห้องสมุด (ดีนะรอดจากขนำพัง) แล้วข้าพเจ้าจะส่งไปให้ยลพร้อมน็อนจัง มีข้อแม้ว่าจะต้องส่งคืน ส่วนน็อนจังมีข้อแม้ว่าจะต้องให้ใครสักคนที่รักการอ่าน (โครงการหนังสือเดินทาง) วันก่อนเข้าตลาดปรากฏว่าปณ.ปิดเข้าพรรษา เลยอดส่ง)
ชอบใจท่านกล่าวถึงตัวหนังสือที่เขียนไว้โดยมิยอมออมคำ เรามีช่วงเวลาที่ดีจริงนั่นแลขะรับ ปัญหาคือทำอย่างไรให้ช่วงเวลานั้นอยู่กับเรานานสุด (ถึงไม่นานขอแค่กลับมาบ่อย ๆ ก็ได้) บางคนนั่งคอย บางท่านรีรอ ข้าพเจ้าเลือกที่จะดุ่มเดิน แม้บางครั้งวนเดินกลับที่เก่า เขกศีรษะตัวเองทีนึงแล้วออกเดินต่อ เชื่อว่าท่านก็คงเช่นนี้ จึงมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย
มีความสุขกับช.ม.งานที่เหลือขอรับ
คารวะ
สวัสดีท่านดิลล์ที่เคารพ
ตอบลบก่อนอื่นต้องขอบพระคุณสำหรับเมตตาจิตใน On Writing และน็อนจัง ข้าพเจ้าจะตั้งหน้าตั้งตารอเจ้าค่ะ ตอนนี้ปวดกบาลกับเจ้าจอมขวัญจังเลย ที่เขียนไว้เยอะแยะตาแป๊ะเมื่อคราวก่อน กลับมานั่งอ่านดูแทบจะเอาหัวโหม่งพื้น สำบัดสำนวนโหลยโท่ยสิ้นดี ไม่รู้เขียนไปได้ไง เห็นทีคงต้องลบออกใหม่ แล้วเริ่มต้นตั้งแต่ศูนย์อีกครั้ง
เมื่อตอนที่ยังเขียนนิยายเรื่องก่อนไม่จบ ก็ได้แต่นั่งฝันถึงเรื่องอื่นที่จะเขียนต่อ เฝ้าแต่คิดว่าถ้าได้ไปเขียนเรื่องอื่นสักทีคงดีไม่น้อย แต่พอเอาเข้าจริง กลับต้องมานั่งบื้อไม่รู้หน ไม่รู้จะหยิบอะไรจะจับอะไร จะเริ่มต้นตรงไหน ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนจอมขวัญกับนิยายเรื่องใหม่คู่กัน จอมขวัญน่ะเขียนสักสิบยี่สิบตอนก็คงพอ ตอนละสักประมาณ 2-3 หน้า ช่วงไหนเขียนจอมขวัญไม่ออกจะสลับไปเขียนนิยาย อยากลองเขียนคู่กันดู จะไปด้วยกันได้มั้ย
แต่ตอนนี้มันไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนนี่สิ เซ็ง!
นิยายที่จะเขียนก็ยังอึมครึมมัวซัว สงสัยจะเป็นม่านหมอกเหมือนเรื่องก่อนแหงเลยท่าน มองหมอกมันก็ดีอยู่หรอก พอภาพใต้หมอกมันผุดขึ้นมามันก็ตื่นเต้นดี แต่ถ้าจะให้นั่งมองอีกสองปีนี่ เห็นทีจะไม่ไหว ลองเอายัยตัวร้ายกับนายตัวดำมานั่งดู ก็ไม่ไหว สมองชักเบลอๆ คงต้องค่อยเป็นค่อยไปละกระมัง ตอนนี้เลยหาหนังสือมาอ่านไปเรื่อยๆ ก่อน
ได้กระบี่เย้ยยุทธจักรของท่านกิมย้งมาชุดหนึ่ง 4 เล่ม เล่มละประมาณห้าร้อยกว่าหน้า ยังไม่กล้าแตะ กลัวติดลมบน นั่งมองค้อนมันมาสิบรอบแล้ว กะลังชั่งใจอยู่ว่าจะเปิดอ่านดีหรือจะหอบกลับไปคืนเจ้าของก่อนดี คิดผิดหรือคิดถูกฟะเนี่ยที่แบกมา
เอาล่ะ ไม่กวนเวลาท่านแระ ขอท่านร่ายกระบี่ได้พลิ้วไหวสมใจเจ้าค่ะ
ด้วยความเคารพ
สายลม
ป.ล. วันก่อนที่บอกว่า
‘นักเขียนนิยายมีชื่อเสียงคนหนึ่ง เขียนนิยายออกมาร้อยเรื่อง เป็นไปไม่ได้ที่มันจะดีทั้งร้อยเรื่อง’
ขอแก้ไขใหม่เจ้าค่ะ เป็น
‘นักเขียนนิยายมีชื่อเสียงคนหนึ่ง เขียนนิยายออกมาร้อยเรื่อง ไม่จำเป็นว่ามันจะดีทั้งร้อยเรื่อง’
ข้าพเจ้าลืมไปว่าในโลกนี้ไม่มีคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าก็ควรลบคำนี้ออกจากหัวซะ
ตอนนี้นักเขียนนิยายร้อยเรื่องและดีทั้งร้อยเรื่องจะมีรึยังไม่รู้ แต่ไม่แน่ในอนาคต นักเขียนที่ว่านั่นอาจเป็นทั่นหรือข้าพเจ้าก็ได้เนอะ โฮะๆๆๆๆ