ahangar3

5

จันทร์เสี้ยวเลื่อนลอยลงต่ำ
ดวงดาราระยิบเกลื่อนฟ้า
สายลมราตรียะเยียบแผ่วพัด

กองไฟลุกโชติ เหล่าดรุณีแต่งกายรัดกุมนั่งล้อมวงสนทนา คนจรแหวกม่านเดินผ่านประตูออกมาหยุดยืนเหลียวซ้ายแลขวา เหล่าดรุณีคว้าอาวุธถลามารายล้อม คนจรสีหน้าเฉยเมย


"นางต้องการพักผ่อนภายในหนึ่งชั่วยามห้ามผู้ใดรบกวน" กล่าวพลางสืบเท้าหาม้าดำ

เหล่าดรุณีเรามองท่านท่านมองเราไม่รู้ทำประการใด ได้แต่ปล่อยมันเดินผ่านไป

ปลดสายบังเหียนเหวี่ยงตัวขึ้นหลังม้า ม้าดำกวัดแกว่งหางสะบัดหัวซอยเท้าคึกคัก มันรั้งสายบังเหียนหันมากล่าวกับเหล่าดรุณีที่ยืนอ้าปากค้าง "พวกท่านช่วยบอกนาง ค่ำคืนนี้พิเศษนัก หวังนางจะไม่ลืมเรารวดเร็วเกินไป"

กล่าวจบมันกระตุ้นม้าควบขับออกไป

ภายในส่วนลึกของห้องโถง มีกองผ้าแพรที่ขยับขลุกขลักคล้ายมีชีวิต สุมทับเป็นรูปร่างอิสตรีนอนขดกาย ทั้งยังมีเสียงอู้อี้มิเป็นภาษาเล็ดลอดออกมา

6

ห่างจากหมู่บ้านทางทิศประจิมเป็นหุบเขาศิลาที่มีแต่ฝุ่นทราย ผืนฟ้าราตรีมืดมิด บริเวณหุบเขากลับสว่างจ้าด้วยแสงคบไฟ ยินเสียงศิลากระทบกันก้องดังอยู่ทั่วไป ถนนแคบ ๆ วกวนคดเคี้ยวเต็มด้วยทางแยก รางเหล็กคู่ขนานทอดหายเข้าในอุโมงค์ที่มีอยู่มากมาย กระโจมใหญ่น้อยร่วมร้อยหลังกางเรียงชิดติดกัน เหนือกระโจมขึ้นไปเป็นถังน้ำใบใหญ่มีโครงสร้างรองรับที่แข็งแรง ยังมีกังหันลม ระหัดทดน้ำสูงทะมึนอยู่ริมธารน้ำสายน้อยที่ไหลผ่านใต้อุโมงค์

อาคันตุกะราตรีหนึ่งร่ายกายผอมสูงอีกหนึ่งเตี้ยแคระสวมชุดดำปิดบังใบหน้า เคลื่อนไหวท่าร่างปราดเปรียวแฝงเงามืดลัดเลาะระหว่างกระโจม พวกมันแหวกดูภายในกระโจมหลังแล้วหลังเล่า

มียามสองคนเดินมา คนชุดดำทั้งสองแทรกกายเข้าภายในกระโจมใกล้ตัว มีแสงสว่างพอมองเห็นข้าวของภายใน คนร่างสูงกวาดตามองไปที่โต๊ะทำงานและชั้นวางสิ่งของ พลันพุ่งกายไปดึงม้วนกระดาษออกมาคลี่ลงบนโต๊ะ คนแคระเกาะขอบโต๊ะชะเง้อมอง บนกระดาษเป็นภาพสถานที่และถนนหนทางต่าง ๆ ในหุบเขา คนร่างสูงไล่ปลายนิ้วบนแผนที่

พลันได้ยินเสียงพูดคุยภายนอก คนทั้งสองรีบมุดเข้าใต้โต๊ะ

บุรุษหนุ่มเค้าหน้าคมคายแต่งกายด้วยแพรผ้าอาภรณ์เนื้อดีแหวกม่านเดินเข้ามาหยิบม้วนกระดาษบนชั้นแล้วหันกายกลับออกไป ก่อนพ้นประตูมันขมวดคิ้วเหลือบมองบนโต๊ะ   
ทันทีคนผู้นั้นลับหลัง คนร่างสูงพุ่งกายแหวกม่านประตูกระโจมมองสำรวจภายนอก จากนั้นจึงหันมาพยักหน้าให้คนแคระแล้วแทรกกายออกภายนอก แต่เพียงพ้นมุมกระโจมคนร่างสูงรีบชักเท้ากลับหลบเข้าเงามืด คนแคระที่วิ่งตามพุ่งชนหน้าคะมำ

บุรุษผู้นั้นยืนมือไพล่หลังท่าทางปรอดโปร่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"มิทราบได้ของที่ต้องการหรือไม่?"

คนชุดดำปกปิดใบหน้าทั้งสองสบตากัน คิดหนีกลับทางเก่า แต่แค่ขยับกายพบว่าเส้นทางถูกเหล่าชายฉกรรจ์ถืออาวุธปิดล้อมสิ้นแล้ว 

คนแคระขว้างวัตถุทรงกลมออก ปรากฏกลุ่มควันพวยพุ่ง คนทั้งสองแฝงกายในม่านควันวิ่งหนีในบัดดล

บุรุษหนุ่มผู้นั้นตวาด

"จับให้ได้!"

เหล่าชายฉกรรจ์วิ่งตามคนทั้งสองไป

คนชุดดำทั้งสองวิ่งลัดเลาะระหว่างกระโจม พบยามอีกกลุ่มวิ่งสวนมา คนทั้งสองเปลี่ยนเส้นทาง มุดใต้โครงฐานถังน้ำ ยามผู้หนึ่งกระโดดขวาง มันแสยะยิ้มเห็นฟันดำแล้วเงื้อดาบฟัน คนชุดดำทั้งสองมุดโครงไม้หลบหลีกไปมา ยามผู้นั้นฟาดฟันติด ๆ กันแต่ล้วนถูกท่อนไม้ คนแคระสะดุดล้ม ยามผู้นั้นแสยะยิ้มก้าวเท้าหา คนร่างสูงกระโดดเหนี่ยวเสาไม้เหวี่ยงตัวรอบเสาวกถีบเต็มปากยามผู้นั้น มันผงะหงายหลังล้มทั้งยืน คนร่างสูงฉุดมือคนแคระลุกขึ้น จากนั้นกระโดดโหนตัวปีนป่ายขึ้นไปตามโครงไม้

ถึงเวลานี้พวกยามล้วนมารวมกัน คนชุดดำทั้งสองปีนป่ายปราดเปรียว เหลียวมองเบื้องล่าง เห็นกลุ่มชายฉกรรจ์ในมือถืออาวุธสะท้อนประกาย ทั้งหมดทะยอยปีนป่ายตามขึ้นมา ยามผู้หนึ่งคว้าขาคนแคระได้ มันกระชากสุดแรง คนแคระร่วงหล่นจากคานไม้ มันรีบคว้าคานไม้อีกอันหลับตากอดไว้แน่น ครั้นลืมตาเหลียวมอง เห็นยามผู้นั้นเงื้อดาบ คนแคระตกใจร้องลั่น แต่แล้วร่างยามร่วงหล่น เป็นคนร่างสูงถีบลงมาจากนั้นมือหนึ่งเหนี่ยวคานไม้ส่งอีกมือให้คนแคระ มันคว้าไว้ คนร่างสูงเหวี่ยงแขน คนแคระลอยระลิ่วขึ้นยืนบนพื้นเพดานใช้ตั้งถังไม้ทรงกลม คนร่างสูงเร่งปีนป่ายตามขึ้นมา

ขณะเดียวกัน อีกฟากพวกยามก็ปีนถึงพื้นเพดาน พื้นที่ใช้ตั้งถังไม้ใส่น้ำขนาดใหญ่เหลือบริเวณใช้ยืนกว้างเพียงไม่เกินช่วงแขน พวกยามใช้หลังแนบถังไม้กุมดาบในมือเคลื่อนตัวขนาบเข้ามาทั้งสองด้าน

คนชุดดำปกปิดใบหน้าทั้งสองล้วงเชือกหนังออกมาพันฝ่ามือแนบแน่น จากนั้นตวัดคล้องกับเชือกที่ผูกโยงถังน้ำ กระโดดปล่อยตัวเลื่อนไหลลงไปตามเส้นเชือก จนใกล้ถึงพื้นคนแคระส่งเสียงหวีดสำเนียงประหลาดพลันอาชาพ่วงพีโจนทะยานออกจากเงามืด คนทั้งสองปล่อยตัวลงบนหลังอาชา ขวบขับออกไป

คนแคระส่งเสียงหัวร่อฮาฮา "สนุกจริง วันหลังเรามากันอีกเป็นไร?"

"เกือบเอาชีวิตมาทิ้ง เจ้ายังเห็นเป็นเรื่องสนุก" คนร่างสูงกระตุ้นม้าเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า

คนแคระที่โดยสารด้านหลังถามว่า

"ท่านคิดว่ารับมือคนผู้นั้นได้หรือไม่?"

"เราไม่มั่นใจ" คนร่างสูงตอบ "ทางทีดีไม่พบเจอย่อมประเสริฐ"

ทั้งสองทะยานไปบนเส้นทางออกจากหุบเขา แต่แล้วคนร่างสูงรั้งสายบังเหียนอาชาพ่วงพีหยุดยืนนิ่งกับที่ เบื้องหน้ายืนไว้ด้วยบุรุษผู้หนึ่ง มันสวมแพรผ้าอาภรณ์เนื้อดียืนมือไพล่หลังอย่างเยือกเย็น

7

มันยืนหันหลัง มือไพล่หลังอย่างปรอดโปร่งคล้ายยืนชมทิวทัศน์หุบเขายามค่ำคืน มองทอดไปที่ไกลตา เนินเขาสลับซับซ้อนกลืนหายในหมู่ดาวเกลื่อนกระจาย สายลมราตรีพัดแผ่วผิวราวสัมผัสของคนรัก ยินเสียงนกกลางคืนร้องแกวก จากนั้นคงเหลืออยู่แต่ความเงียบงัน ความเงียบที่คล้ายมีน้ำหนักกดทับทำให้ผู้คนแทบคลุ้มคลั่ง

คนชุดดำทั้งคู่ยังคงยืนม้าจ้องมองเงาหลังมันแน่วนิ่ง ที่สุดบุรุษผู้นั้นส่งเสียงโดยไม่หันหน้ามา

"พบกันสั้น จากกันยาวนาน แวะมาแล้วไยเร่งรีบจากไป"

"ไม่ทราบสถานที่แห่งนี้เป็นของท่าน จึงได้ล่วงล้ำมิเจตนา ขอท่านอย่าได้ถือสา" คนชุดดำกล่าว

ได้ยินน้ำเสียงอิสตรี บุรุษผู้นั้นเงยหน้าส่งเสียงหัวร่อคักคัก "อิสตรี" มันหันกาย "นึกว่าละแวกนี้ยังมีบุรุษห้าวหาญหลงเหลือ" กล่าวพลางจ้องมองคนชุดดำแน่วนิ่ง "ข้าพเจ้าไม่คิดทำร้ายอิสตรี แค่คืนของ ข้าพเจ้าจะปล่อยท่านไป"

"ข้าพเจ้ามิได้หยิบฉวยสิ่งใด" คนชุดดำกล่าว

"ท่านไม่ยอมคืน?"

"เป็นความสัตย์ข้าพเจ้าหาได้หยิบฉวยสิ่งใด"

บุรุษผู้นั้นขมวดคิ้วสีหน้าที่ปรอดโปร่งเปลี่ยนเป็นทะมึนทึน มันสืบเท้าเข้าหา คนชุดดำกระตุกสายบังเหียน ม้าดำพ่วงพีทะยานออก วิ่งกระโจนข้ามบุรุษผู้นั้น มันทิ้งตัวไปด้านหลังซัดฝ่ามือออก ม้าดำส่งเสียงร้องโหยหวน เพียงเท้าสัมผัสพื้นก็เสียหลักล้มลง คนชุดดำทั้งคู่ดีดกายกลิ้งห่างออกไปหลายวา คนชุดดำที่ผอมสูงเกลือกกลิ้งหลายตลบ เพิ่งยันกายก็พบฝ่ามือฝ่ายตรงข้ามประชิดตัว นางส่งเท้าออกรับ เกี่ยวตวัดแล้วเตะอย่างรวดเร็วชั่วพริบตาร่วมร้อยครั้ง บุรุษผู้นั้นใช้ฝ่ามือต้านรับ ความรุนแรงต่อเนื่องของท่าเตะทำให้มันถอยหลังไปหลายก้าว มันประสานฝ่ามือผลักพลังออก คนชุดดำอาศัยพลังสะท้อนดีดกลับม้วนกายกลางอากาศทิ้งตัวลงยืน

"เพลงเตะวายุที่ยอดเยี่ยม" บุรุษผู้นั้นสะบัดอาภรณ์ของมันราวไม่ต้องการให้เลอะเทอะเปรอะเปื้อน

คนชุดดำหลังจากทรงกาย นางเหลือบมองหาคนแคระ เห็นมันหลบซ่อนอยู่หลังศิลา อาชาของนางไม่ไหวติง คิดหลุดพ้นจากที่นี่มีแต่สยบคนผู้นี้อย่างรวดเร็ว นางม้วนกายไปข้างหน้าเหวี่ยงเท้าลง บุรุษผู้นั้นยกท่อนแขนตั้งรับร่างทรุดฮวบแล้วผลักแขนออก คนชุดดำพลิกกายกลางอากาศเหวี่ยงขาเตะถูกหน้าอกคนผู้นั้นร่างลอยจากพื้น มันหดตัวดีดกายกลับแล้วฟาดแขนออก ในมือเพิ่มดาบอ่อนที่ชักจากหว่างเอว กระบี่อ่อนสีเงินยวงตวัดพลิ้วคล้ายอสรพิษพุ่งฉก

"ระวัง!" คนตัวเตี้ยส่งเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนก

คนชุดดำพลิกกายหลบแต่ช้าชั่ววูบถูกปลายคมดาบกรีดกลางหลัง คนตัวเตี้ยวิ่งออกจากที่ซ่อน ชี้นิ้วด่าว่าบุรุษผู้นั้น

"มารดาท่านเถอะ! ไหนบอกว่าไม่ทำร้ายอิสตรี?"

เป็นเสียงของทารกน้อย บุรุษผู้นั้นหันมายิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม "สาบานต่อมารดาเจ้า เราโกหก" กล่าวจบมันก้าวเท้าหาคนชุดดำ นางโลหิตหยาดหยดถอยร่นจนพิงก้อนศิลา  

พลันมีเสียงชายเสื้อปะทะลม ร่างยังไม่ถึง รังสีดาบจู่โจมมาจากเบื้องบนอย่างเร่งร้อน บุรุษผู้นั้นสะบัดดาบอ่อนออกต้านรับ เสียงดาบปะทะดังเปรื่อง มือสั่นสะเทือนทั้งท่อนแขน ผู้มาอาศัยแรงปะทะดีดร่างยืนบนก้อนศิลา ส่งเสียงทักทาย

"อสูรฟ้าท่านสบาย?"

"จิ้งจอกโลกันตร์!" บุรุษหนุ่มฉายาอสูรฟ้าส่งเสียงอุทาน ดวงตาเบิกโพลง
"ความทรงจำท่านนับว่ายังไม่เลว"

อสูรฟ้าจ้องมองมันแน่วนิ่ง มันยืนบนศิลาใหญ่อาภรณ์ดำทั้งร่างกลืนหายกับท้องฟ้าราตรี แม้เค้าหน้าก็มืดดำดุจปีศาจไร้รูปเงา เพียงน้ำเสียงนี้ พลังดาบเยี่ยงนี้ เป็นผู้อื่นมิได้ อสูรฟ้ายังไม่ยินยอมปักใจเชื่อ!

"ท่านคงไม่เชื่อว่าข้าพเจ้าจะรอดชีวิต" จิ้งจอกโลกันตร์กล่าว

"ย่อมไม่เชื่อ" อสูรฟ้ากล่าวอย่างเลื่อนลอย

"ท่านคงไม่เคยได้ยิน สุนัขจิ้งจอกที่แน่นิ่งสิ้นใจตายเพียงสัมผัสน้ำค้างชั่วคืนมันสามารถฟื้นตื่นคืนชีวิต"

อสูรฟ้าเหลือบมองคนชุดดำที่รับบาดเจ็บ พลันหัวร่อคักคัก "จิ้งจอกโลกันตร์ที่โดดเดี่ยว ยามนี้เพิ่มจิ้งจอกตัวเมียอีกตัว ทาริกาน้อยอีกนาง นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริง ๆ" มันตวัดดาบอ่อน ตัวดาบส่งเสียงหึ่งอึงแก้วหูเปล่งประกายเงินยวงพลิ้วไหวราวมีชีวิต  "ดี! ข้าพเจ้าจะส่งเสริมพวกท่านในคราเดียว"

"ครั้งกระโน้นพวกท่านทั้งหมดกลุ้มรุมยังไม่สามารถเอาชัย ครานี้มีเพียงท่าน คิดจัดการข้าพเจ้า?"

"เหลวไหล!" อสูรฟ้าตวาด "จิ้งจอกโลกันตร์ตายแล้ว เจ้าใช้ชื่อมันหลอกลวงผู้คน!"

"เช่นนั้นท่านลองไปสืบเสาะหามันในนรกภูมิ" กล่าวจบจิ้งจอกโลกันตร์ตวัดดาบ รังสีดาบเจิดจ้าแผ่เป็นวงจันทร์ อสูรฟ้าดีดกายหลบ พื้นศิลาใต้ฝ่าเท้าแตกกระจายผงฝุ่นทรายปลิวว่อน มันโจนทะยานไปบนก้อนศิลาแทงดาบออก จิ้งจอกโลกันตร์เบี่ยงกายขวางดาบรับ ดาบของอสูรฟ้าพลันเปลี่ยนสภาพจากแข็งเป็นอ่อนเลื้อยขดราวอสรพิษรัดดาบของจิ้งจอกโลกันตร์ปลายดาบเคลื่อนไหวดุจมีชีวิต จิ้งจอกโลกันตร์จี้นิ้วลงปลายคมดาบนั่น ดาบอ่อนกลายสภาพเป็นเหยียดยาว อสูรฟ้าเสือกแทงมาข้างหน้า จิ้งจอกโลกันตร์บิดกายหลบ  อสูรฟ้ายามนี้เห็นใบหน้าฝ่ายตรงข้ามชัดถนัดตา มันแตกตื่นลนลาน ดีดกายไปข้างหลัง กลับละทิ้งเรื่องราวไม่ไยดี 

จิ้งจอกโลกันตร์ขณะจะติดตาม ยินเสียงร้องเรียกของทาริกาน้อย

"ช่วยนางด้วย! นางบาดเจ็บ"

มันชะงักเท้าเพียงครู่อสูรฟ้าก็โลดแล่นลับตา จิ้งจอกโลกันตร์หันมองคนทั้งสอง อิสตรีชุดดำนั่งตะแคงพิงศิลา ทารกน้อยประคองอยู่ข้าง คนทั้งสองยามนี้ปลดผ้าคลุมใบหน้าออก มันขมวดคิ้วสะบัดหน้าพุ่งทะยานติดตามอสูรฟ้าไป

"เดี๋ยวก่อน! ช่วยนางด้วย!" ทาริกาน้อยตะโกนลั่น "ช่วยนางด้วย!"

"เจ้ารู้จักร้องขอความช่วยเหลือจากผู้คนแต่เมื่อไร?" สตรีชุดดำใบหน้าชุ่มเหงื่อ

"คนผู้นั้นใช่แวะกินอาหารเมื่อค่ำ?"

สตรีชุดดำผงกศีรษะ "ไหนเจ้าบอกมันติดตามนางแพศยาไป" นางพยายามยันกายลุกขึ้น

"ท่านเดินไหวหรือไม่?"

"บาดเจ็บแค่ภายนอกจะเป็นไร เราย่อมเดินไหว"

"แต่หนทางไกล" ทาริกาน้อยเหลือบมองม้าของนาง ยกมือป้ายน้ำตา 

"หักใจเถอะ มันช่วยคุ้มครองชีวิตพวกเรา นับว่าตอบแทนความรักที่เจ้ามีให้แล้ว" นางยันกายลุกขึ้น "พวกเราไป" กล่าวยังไม่จบคำร่างทรุดฮวบ ทารกน้อยรีบส่งมือประคองกลับล้มลงทั้งคู่ 

ยามนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าม้าตะบึงมา คนทั้งสองอกสั่นขวัญแขวนเหลียวมองถนน

"มันกลับมา" ทาริกาน้อยเกาะสตรีชุดดำไว้แนบแน่น

อาชาดำทะยานเข้าใกล้ จิ้งจอกโลกันตร์โน้มตัวลงคว้าร่างคนทั้งสองเหวี่ยงขึ้นหลังม้า ห้อทะยานไปในราตรีมืดมิด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น