ahangar3

พลันมีเสียงชายเสื้อปะทะลม ร่างยังไม่ถึง รังสีดาบจู่โจมมาจากเบื้องบนอย่างเร่งร้อน บุรุษผู้นั้นสะบัดดาบอ่อนออกต้านรับ เสียงดาบปะทะดังเปรื่อง มือสั่นสะเทือนทั้งท่อนแขน ผู้มาอาศัยแรงปะทะดีดร่างยืนบนก้อนศิลา ส่งเสียงทักทาย


"อสูรฟ้าท่านสบาย?"

"จิ้งจอกโลกันตร์!" บุรุษหนุ่มฉายาอสูรฟ้าส่งเสียงอุทาน ดวงตาเบิกโพลง

"ความทรงจำท่านนับว่ายังไม่เลว" ผู้มากล่าว

อสูรฟ้าจ้องมองมันแน่วนิ่ง มันยืนบนศิลาใหญ่อาภรณ์ดำทั้งร่างกลืนหายกับท้องฟ้าราตรี แม้เค้าหน้าก็มืดดำดุจปีศาจไร้รูปเงา เพียงน้ำเสียงนี้ พลังดาบเยี่ยงนี้ เป็นผู้อื่นมิได้ อสูรฟ้ายังไม่ยินยอมปักใจเชื่อ!

"ท่านคงไม่เชื่อว่าข้าพเจ้าจะรอดชีวิต" จิ้งจอกโลกันตร์กล่าว

"ย่อมไม่เชื่อ" อสูรฟ้ากล่าวอย่างเลื่อนลอย

"ท่านคงไม่เคยได้ยิน สุนัขจิ้งจอกที่แน่นิ่งสิ้นใจตายเพียงสัมผัสน้ำค้างชั่วคืนมันสามารถฟื้นตื่นคืนชีวิต"

อสูรฟ้าเหลือบมองคนชุดดำที่รับบาดเจ็บ พลันหัวร่อคักคัก "จิ้งจอกโลกันตร์ที่โดดเดี่ยว ยามนี้เพิ่มจิ้งจอกตัวเมียอีกตัว ทาริกาน้อยอีกนาง นับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายจริง ๆ" มันตวัดดาบอ่อน ตัวดาบส่งเสียงหึ่งอึงแก้วหูเปล่งประกายเงินยวงพลิ้วไหวราวมีชีวิต  "ดี! ข้าพเจ้าจะส่งเสริมพวกท่านในคราเดียว"

"ครั้งกระโน้นพวกท่านทั้งหมดกลุ้มรุมยังไม่สามารถเอาชัย ครานี้มีเพียงท่าน คิดจัดการข้าพเจ้า?"

"เหลวไหล!" อสูรฟ้าตวาด "จิ้งจอกโลกันตร์ตายแล้ว เจ้าใช้ชื่อมันหลอกลวงผู้คน!"

"เช่นนั้นท่านลองไปสืบเสาะหามันในนรกภูมิ" กล่าวจบจิ้งจอกโลกันตร์ตวัดดาบ รังสีดาบเจิดจ้าแผ่เป็นวงจันทร์ อสูรฟ้าดีดกายหลบ พื้นศิลาใต้ฝ่าเท้าแตกกระจายผงฝุ่นทรายปลิวว่อน มันโจนทะยานไปบนก้อนศิลาแทงดาบออก จิ้งจอกโลกันตร์เบี่ยงกายขวางดาบรับ ดาบของอสูรฟ้าพลันเปลี่ยนสภาพจากแข็งเป็นอ่อนเลื้อยขดราวอสรพิษรัดดาบของจิ้งจอกโลกันตร์ปลายดาบเคลื่อนไหวดุจมีชีวิต จิ้งจอกโลกันตร์จี้นิ้วลงปลายคมดาบนั่น ดาบอ่อนกลายสภาพเป็นเหยียดยาว อสูรฟ้าเสือกแทงมาข้างหน้า จิ้งจอกโลกันตร์บิดกายหลบ  อสูรฟ้ายามนี้เห็นใบหน้าฝ่ายตรงข้ามชัดถนัดตา มันแตกตื่นลนลาน ดีดกายไปข้างหลัง กลับละทิ้งเรื่องราวไม่ไยดี 

จิ้งจอกโลกันตร์ขณะจะติดตาม ยินเสียงร้องเรียกของทาริกาน้อย

"ช่วยนางด้วย! นางบาดเจ็บ"

มันชะงักเท้าเพียงครู่อสูรฟ้าก็โลดแล่นลับตา จิ้งจอกโลกันตร์หันมองคนทั้งสอง อิสตรีชุดดำนั่งตะแคงพิงศิลา ทารกน้อยประคองอยู่ข้าง คนทั้งสองยามนี้ปลดผ้าคลุมใบหน้าออก มันขมวดคิ้วสะบัดหน้าพุ่งทะยานติดตามอสูรฟ้าไป

"เดี๋ยวก่อน! ช่วยนางด้วย!" ทาริกาน้อยตะโกนลั่น "ช่วยนางด้วย!"

"เจ้ารู้จักร้องขอความช่วยเหลือจากผู้คนแต่เมื่อไร?" สตรีชุดดำใบหน้าชุ่มเหงื่อ

"คนผู้นั้นใช่แวะกินอาหารเมื่อค่ำ?"

สตรีชุดดำผงกศีรษะ "ไหนเจ้าบอกมันติดตามนางแพศยาไป" นางพยายามยันกายลุกขึ้น

"ท่านเดินไหวหรือไม่?"

"บาดเจ็บแค่ภายนอกจะเป็นไร เราย่อมเดินไหว"

"แต่หนทางไกล" ทาริกาน้อยเหลือบมองม้าของนาง ยกมือป้ายน้ำตา 

"หักใจเถอะ มันช่วยคุ้มครองชีวิตพวกเรา นับว่าตอบแทนความรักที่เจ้ามีให้แล้ว" นางยันกายลุกขึ้น "พวกเราไป" กล่าวยังไม่จบคำร่างทรุดฮวบ ทารกน้อยรีบส่งมือประคองกลับล้มลงทั้งคู่ 

ยามนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าม้าตะบึงมา คนทั้งสองอกสั่นขวัญแขวนเหลียวมองถนน

"มันกลับมา" ทารกน้อยเกาะสตรีชุดดำไว้แนบแน่น

ม้าดำทะยานเข้าใกล้ จิ้งจอกโลกันตร์โน้มตัวลงคว้าร่างคนทั้งสองเหวี่ยงขึ้นหลังม้า ห้อทะยานไปในราตรีมืดมิด

8

แสงคบไฟเจิดจ้าท้าทายท้องฟ้าราตรี
หน้ากระโจมใหญ่ยืนไว้ด้วยชายฉกรรจ์เฝ้าเวรยาม
เสียงพิณเร่งเร้าสลับเสียงกลองฮึกหาญดังจากในกระโจม
มิเพียงเสียงดนตรี แม้แต่แสงไฟยังเล็ดลอดออกภายนอก

ภายในมีดรุณีน้อยนุ่งห่มแพรผ้าบางเบาหลากสีสันเจ็ดแปดนาง กรีดกรายร่ายรำ แพรใสสะบัดริ้ววนเวียนว่อน เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นโลดลิ่วพลิ้วไหวไปกับท่วงทำนองของพิณกลอง

พวกนั่งชมพากันจ้องตาค้าง มีบ้างในมือถือจอกสุรากลับลืมยกขึ้นดื่ม บ้างเผลอเลียริมฝีปากจับจ้องหน้าท้องนวลเนียนราบเรียบที่เคลื่อนย้ายส่ายไหวนั่น เบื้องหน้าพวกมันเป็นถ้วยโถโอชามจอกสุราที่ล้วนทำจากทองคำบริสุทธิ์ส่งประกายอร่ามเหลืองเรืองรอง

ราชสีห์เกราะทองเป็นบุรุษร่างใหญ่วัยกลางคน ทั่วกายเต็มด้วยกล้ามเนื้อแข็งแกร่ง เกราะทองของมันเสริมบุคลิกผู้กล้าสยบขวัญผู้คนระย่นย่อ มันนั่งหลังตรงไหล่กว้าง โดดเด่นอยู่ท่ามกลางองครักษ์ทั้งสี่ 

เสียงดนตรีหยุดลง เหล่านาฏดรุณีพากันย่างเหยียดปลายเท้า ย่อเข่าโค้งกาย กระทำคารวะต่อราชสีห์เกราะทอง มันปรบมือแย้มสรวล สั่งกำนัลทองคำแท่งแก่นาฏดรุณีเหล่านั้น

เบื้องนอกอสูรฟ้าที่ผละหนีจากการต่อสู้กับจิ้งจอกโลกันตร์ สาวเท้าผ่านยามเฝ้าประตูเข้าภายในกระโจม ประสานมือคารวะต่อราชสีห์เกราะทอง

"จับตัวได้หรือไม่?" ราชสีห์เกราะทองเอ่ยถาม

"เรียนจ้าวหุบเขา" อสูรฟ้าก้มศีรษะกล่าว "พวกมันหนีรอดไปได้"

"หรือกระทั่งเจ้าก็ไม่อาจหยุดสวะสองคนนั่น!?"

"เรียนจ้าวหุบเขา" อสูรฟ้ายังคงก้มหน้ากล่าว "มีคนช่วยพวกมัน"

"มีคนที่พลังวัตรเหนือล้ำกว่าเจ้า?"

พวกองครักษ์ทั้งสี่พากันแสยะยิ้ม อสูรฟ้ากล้ำกลืนอัปยศ กล่าววาจา

"คนผู้นี้ยากตอแย"

"เจ้ารู้จักมัน?"

"เรียนจ้าวหุบเขา คนผู้นี้ความจริงเราได้ส่งมันสู่ปรภพแล้ว มิคาดมันยังสามารถหวนกลับมา"

"เจ้าหมายถึง..!" ราชสีห์เกราะทองอุทานแค่นั้นพลันชะงักค้าง จอกทองคำในมือถูกบีบบี้แบน "เจ้ามั่นใจเป็นมัน!?"

"บริวารมั่นใจ"

ราชสีห์เกราะทองกำหมัดแนบแน่น ร้องสั่งอสูรฟ้า

"นำคนออกติดตามค้นหา มันคงไปไม่ไกล"

"น้อมรับคำสั่ง"

"อีกอย่าง" ราชสีห์เกราะทองกล่าว "เพิ่มเวรยามสองเท่าทั้งกลางวันกลางคืน!"

"น้อมรับคำสั่ง" อสูรฟ้ารับคำสั่ง ล่าถอยออกมา

9

อรุโณทัยไขแสง
ขอบฟ้าฟากบูรพาเรื่อแดงร่ำไรอยู่ตรงเส้นเงาสันเขาไกลตา
ผืนทุ่งแล้งกว้างไกลคลุมด้วยกอหญ้าแห้งเหยียดก้านกร้านแกร็นติดตอ
หญ้าแห้งแข็งทื่อไม่อนาทรต่อสัมผัสแผ่วของลมอรุณ
หนูทรายตัวน้อยผลุบโผล่หัวเข้าออกอยู่ปากรู

จิ้งจอกโลกันตร์เหวี่ยงอานพาดหลังอาชา ผูกสายรัดแล้วดึงให้กระชับ เลื่อนมือลูบขนแผงคอแล้วตบสีข้างมันเบา ๆ อาชาพ่วงพีขนมันขลับขยับกล้ามเนื้อขึ้นลงเหวี่ยงหางตอบรับ

"ท่านจะไปแล้ว?"

ดาริกาน้อยผมเผ้ายังยุ่งเหยิง ยืนขยี้ตาอยู่ที่ขอบประตู จิ้งจอกโลกันตร์ผงกศีรษะสอดสายบังเหียนเข้ากับม้าตวัดอ้อมหัวมัน

"พวกเราทำอาหารเช้าตอบแทนท่านสักมื้อเป็นไร?" ดรุณีน้อยสวมชุดประโปรงยาวคลุมข้อเท้า ลอนผมหยักผูกรวบหลวม ๆ ไว้ด้านหลัง หลงเหลือเส้นริ้วพลิ้วเคลียใบหน้า

"อภัยที่ไม่อาจสนอง ข้าพเจ้ายังมีเสบียง" 

"ท่านจะไปเสาะหาอสูรฟ้าอะไรนั่น?" ดรุณีน้อยถาม

จิ้งจอกโลกันตร์ไม่ตอบคำ ผูกถุงหนังบรรจุน้ำเข้ากับอาน ดรุณีน้อยกล่าวว่า

"หุบเขานั่นลึกลับซับซ้อน พวกเราเปลืองเวลาสำรวจหลายเที่ยวยังไม่อาจสืบเสาะให้กระจ่าง"

"คนพวกนี้อันตรายนัก ทางที่ดีพวกท่านอย่าได้ยุ่งเกี่ยว"

"หลายปีก่อนบุรุษในหมู่บ้านทยอยสูญหาย ผู้คนล่ำลือว่าปีศาจลักพาตัวพวกมันไป พวกที่ออกติดตามไม่เคยย้อนกลับมา จนทั้งหมู่บ้านเหลือแต่คนชราอิสตรีและทารก" นางเอนไหล่พิงขอบประตูรั้งทาริกาน้อยชิดตัว กล่าวต่อว่า "พวกเรากำพร้ามารดา บิดาพลันสาบสูญไร้ร่องรอย"

"ท่านจึงคิดเสาะหาในหุบเขานั่น?"

นางผงกศีรษะ "ข้าพเจ้าพบบันทึกที่คล้ายเส้นทางในหุบเขา เสียดายมิได้หยิบฉวยติดมือมา"

"ข้าพเจ้าเอามา" ทาริกาน้อยแหงนหน้ากล่าว

ดรุณีน้อยถลึงตา "ที่แท้เป็นเจ้า!"

ทาริกาน้อยแย้มยิ้ม

"เช่นนั้นพวกท่านเตรียมอาหารเช้าเถอะ"

ยินเยี่ยงนั้นคนทั้งสองลิงโลดยินดี หมุนตัวชักชวนกันเข้าครัว จิ้งจอกโลกันตร์ผูกสายบังเหียน ก้าวเท้าตามคนทั้งสองเข้าในบ้าน ภายในเป็นโครงสร้างบ้านดินยึดด้วยคานไม้ ผนังดินเจาะหน้าต่างห้อยมู่ลี่ลูกปัด แบ่งพื้นที่ใช้สอยเป็นสัดส่วน โต๊ะเก้าอี้ประกอบจากท่อนไม้ทั้งลำ ยินเสียงอุปกรณ์ทำครัวกระทบกัน เสียงสองคนสนทนาไม่เป็นศัพท์สำเนียง มันอมยิ้มหวนคำนึงถึงค่ำคืนแรกพบคนทั้งสอง จากนั้นหย่อนตัวลงนั่งรอ

เพียงครู่คนทั้งสองก็ถือถ้วยจานเดินตามกันออกมา จิ้งจอกโลกันตร์เหลือบมองอาหารในจาน เละละเอียดคล้ายทุกอย่างถูกบดรวมกัน มีกลิ่นของใบไม้แห้งโชยต้องนาสิก

"นี่เรียกว่างดงามมิสู้รสงามเป็นข้าพเจ้าคิดค้นขึ้นเอง" ดรุณีน้อยวางจานลงตรงหน้า

"นี่เรียกว่าเล็กน้อยกลับมากหลายเป็นข้าพเจ้าคิดค้นขึ้นเอง" ทาริกาน้อยดันถ้วยใบเล็กชิดขอบจาน ภายในเป็นน้ำแกงจรุงกลิ่นเครื่องปรุง

จิ้งจอกโลกันตร์แย้มยิ้ม "อาหารพวกท่านเล่า?"

"พวกเราเพียงปรุงอาหารให้ท่าน อย่าได้เกรงใจ" ดรุณีน้อยกล่าว

"ใช่ อย่าได้เกรงใจ" ทาริกาน้อยก็กล่าว

"เช่นนั้นข้าพเจ้าไม่เกรงใจแล้ว"

มันตักอาหารเข้าปากโดยมีคนทั้งสองนั่งท้าวคางมอง รอฟังผลของรสชาติอาหาร จิ้งจอกโลกันตร์สีหน้าผะอืดผะอม คนทั้งสองเร่งสอบถาม

"เป็นไร..เป็นไร?"

มันกล้ำกลืนอาหารลงคออย่างยากเย็น "มีพวกท่านนั่งจ้องเยี่ยงนี้ ข้าพเจ้ายากกลืนกิน"  

"เช่นนั้นเราล่าถอยก่อน" ดรุณีน้อยหันไปทางทาริกาน้อย "ไปแปะก๊วย"  ทาริกาน้อยขยับลงจากเก้าอี้ มืออมปากชายตามองใคร่รู้ว่ารสชาติอาหารที่ตนปรุงเป็นเช่นไร จิ้งจอกโลกันตร์เร่งซดน้ำแกงพยักหน้าส่งยิ้มเอาใจ นางจึงค่อยแย้มยิ้มเดินตามดรุณีน้อยออกไป

เพียงพ้นขอบประตูดรุณีน้อยหลบวูบ ย่อตัวเกาะขอบประตู ทาริกาน้อยกระทำตาม

จิ้งจอกโลกันตร์รู้ว่าคนทั้งสองลอบมอง ตักอาหารส่งเข้าปากเคี้ยวพลางแย้มยิ้มทั้งผะอืดผะอม

อาหารใกล้หมดจาน คนทั้งสองกลับเข้ามา ในมือมีจอกน้ำคนละใบ

"นี่เป็นสมุนไพรปรุงจากสูตรเก่าแก่ของหมู่บ้านเรา ข้าพเจ้านำมาปรับปรุงตัวยา ดื่มแล้วบำรุงกำลังวังชา" ดรุณีน้อยกล่าว

"สูตรของข้าพเจ้าก็เก่าแก่ ตัวยาบำรุงกำลังดื่มแล้วสมองแจ่มใส" ทาริกาน้อยบรรยายสรรพคุณน้ำสมุนไพรของนาง

จิ้งจอกโลกันตร์วางช้อน ฉวยจอกขึ้นดื่มหมดสิ้นทั้งสองใบ

"เป็นไร..เป็นไร..?" คนทั้งสองเร่งสอบถาม

"รู้สึกร่างกายคึกคักแจ่มใส" 

"เราจะไปเอามาให้อีก" คนทั้งสองขยับกาย จิ้งจอกโลกันตร์รีบเรียกไว้

"จริงสิ แผนที่นั่น?"

"แปะก๊วย" ดรุณีน้อยขมวดคิ้ว "ยังไม่รีบไปเอาออกมา"

ทาริกาน้อยวิ่งออกจากห้องในบัดดล 

เพียงครู่ก็กลับเข้ามาพร้อมพับกระดาษยับเยินในมือ ดรุณีน้อยรับมาคลี่ลงบนโต๊ะ ตะวันสายทอแสงแทรกมู่ลี่หน้าต่างเข้ามา มองเห็นภาพลายเส้นลากโยงหลากสีสัน จิ้งจอกโลกันตร์เขม้นมองศึกษาเส้นทางในหุบเขา ทาริกาน้อยปีนขึ้นยืนบนเก้าอี้ท้าวแขนก้มมองแผนที่ พลันยินเสียงกุกกัก

ทั้งหมดหันมองประตู

เป็นหนูทรายตัวจ้อยยืนยกสองขาหน้าทำปากขมุบขมิบ ทาริกาน้อยส่งเสียงกิ๊ดกิ๊ดแทรกไรฟัน หนูทรายตัวนั้นแผลวขึ้นมาบนโต๊ะ ทาริกาน้อยเอานิ้วแหย่จมูกมันเบา ๆ

"มันเป็นผู้ช่วยที่เข้มแข็งของข้าพเจ้าเรียกว่าแปะก๊วยน้อย" นางขยับลงจากเก้าอี้ "เจ้าคงหิวแล้ว"

แปะก๊วยน้อยเดินพล่านทำจมูกฟุดฟิดไปบนแผนที่ 

"แปะก๊วย เจ้าเอาผู้ช่วยที่เข้มแข็งออกไปก่อนเป็นไร" ดรุณีน้อยส่งเสียงเรียก "ผู้มีคุณกำลังศึกษาเส้นทางในหุบเขา"

แปะก๊วยเดินเข้ามาพร้อมถ้วยอาหารใบจิ๋วส่งเสียงกิ๊ดกิ๊ดสองครั้ง หนูทรายตัวนั้นก็แผลวลงจากโต๊ะ ดรุณีน้อยลากเก้าอี้นั่งลง หันมองแปะก๊วย นางนั่งยองทำจมูกฟุดฟิดให้อาหารผู้ช่วยที่เข้มแข็ง

"นางสามารถพูดจากับสัตว์เลี้ยง" บอกกับจิ้งจอกโลกันตร์ "ม้าของนางเสียชีวิต เมื่อคืนร่ำไห้จนหลับใหล"   

จิ้งจอกโลกันตร์ผงกศีรษะ หันไปจดจ่อกับแผนที่

"ทุกเส้นทางล้วนหายลับเข้าในอุโมงค์ ในนั้นมีเลศนัยใด?" จิ้งจอกโลกันตร์พึมพำ

ดรุณีน้อยส่ายหน้า "ครั้งหนึ่งพวกเราพลัดหลงเข้าไป เส้นทางภายในคดเคี้ยวสับสน ไปยังไม่สุดทางต้องวกกลับออกมา"

"กระโจมใหญ่นี่คงเป็นที่บัญชาการ"

จิ้งจอกโลกันตร์ชี้นิ้วบนรูปกระโจมสีทองโดดเด่น ดรุณีน้อยผงกศีรษะ

"คุ้มกันแน่นหนา ยากเล็ดลอดเข้าไป" นางกวาดนิ้วบนแผนที่ "บริเวณนี้ข้าพเจ้าสำรวจแล้วไม่พบอะไร คงเหลือด้านหลังหุบเขากับในอุโมงค์" นางเงยหน้ามองจิ้งจอกโลกันตร์เห็นมันจ้องแผนที่นิ่งอยู่ กล่าวถามว่า "ความเห็นท่าน?"

"บุกกองบัญชาการสังหารหัวหน้าใหญ่"

"พวกมันรู้ตัวแล้วคงเพิ่มกำลังป้องกันเข้มแข็ง"

"และพวกมันก็คงคิดว่าศัตรูไม่กล้าหวนกลับไป"

"เราพานกลับเข้าไปในทันที"

"ไม่ใช่เรา"

"ท่านว่ากระไร?"

"ไม่ใช่เรา" จิ้งจอกโลกันตร์เงยหน้า "แต่เป็นข้าพเจ้า"

"ท่านว่ากระไร!?" ดรุณีน้อยเน้นเสียง แปะก๊วยทั้งสองหันหน้ามอง

"คนพวกนี้อันตรายนัก พวกท่านอย่าได้ตอแย ทางที่ดีรอคอยอยู่ที่นี่ หากบิดาท่านกับพวกบุรุษในหมู่บ้านถูกจับขังในหุบเขา จะต้องกลับมาในอีกไม่ช้า"  

"อาศัยท่านผู้เดียวคิดทำลายพวกนั้น!?"

จิ้งจอกโลกันตร์ส่งเสียง "อืมม์" พับแผนที่ส่งคืนให้นาง ขยับลุกก้าวเท้าออกจากห้อง ดรุณีทั้งสองเร่งตามออกมายืนเกาะขอบประตู จิ้งจอกโลกันตร์ปลดสายบังเหียนเหยียบพักเท้าเหวี่ยงกายขึ้นหลังม้า ม้าดำสะบัดหัวส่งเสียงฟึดฟัดซอยเท้าคึกคัก

"ท่านจะกลับมาอีกหรือไม่?" ทาริกาน้อยร้องถาม

จิ้งจอกโลกันตร์รั้งสายบังเหียน "อภัยที่ข้าพเจ้ามีเรื่องเร่งด่วนไม่อาจรั้งรอ วาสนาพ้องพานคงได้พบประสพอีกครา" กล่าวจบมันกระตุ้นม้า อาชาพ่วงพีห้อทะยานจากไป ดรุณีน้อยกอดทาริกาน้อยแนบแน่นทั้งสองยืนมองมันจนลับตา

10

กระบะเหล็กมีคราบสนิมเกาะหนา บรรทุกศิลาหลากหลายขนาดเคลื่อนไปบนรางส่งเสียงเสียดสีเอี๊ยดอ๊าดตลอดเวลา รางเหล็กผิวมันทอดยาวเข้าในอุโมงค์สลัว ขุดเจาะเข้าใต้ภูเขา ผนังศิลาบางช่วงปักไว้ด้วยคบไฟให้แสงสว่างพอเห็นช่องทางเลาะเลี้ยววกวน มีน้ำใสซึมไหลเซาะ มีโครงไม้หนุนรองรับเพดานศิลาเป็นระยะ

กระบะเหล็กส่งเสียงเอี๊ยดสลับรางวกเข้าอุโมงค์ขวามือ เลื่อนไหลลดต่ำลง ยิ่งมายิ่งเร็วจนพุ่งไปบนรางดุจเหินบิน เสียงเอี๊ยดอ๊าดก้องสะท้อนไปในอุโมงค์ รางเหล็กโค้งวกไปทางซ้าย กระบะบรรทุกศิลาพุ่งตามวงโค้ง ตัวกระบะเอียงแทบหลุดร่วงจากราง ล้อเหล็กเสียดสีเกิดประกายไฟดูราวดาวตกพุ่งผ่านนภา

รางคู่ขนานผ่านหนทางลาดชันเลาะเลี้ยวต่ำลงจนถึงพื้นระนาบจึงค่อยลดความเร็วเคลื่อนเข้าสู่อุโมงค์ใหญ่มีแสงไฟสว่างจ้า ผ่านหน้ายามผู้หนึ่ง มันนั่งประจำคันบังคับกลไก สีหน้าอ่อนล้าหน่ายโลก

รอจนกระบะเหล็กเคลื่อนเข้าช่องสถานี มันอ้าปากหาว ขยับมือคว้าคันโยกดึงหาตัว

กระบะเหล็กที่บรรทุกศิลาเต็มคันเทคว่ำ ก้อนศิลาหลากหลายขนาดกลิ้งร่วงลงไปบนกองเบื้องล่าง มีเงาร่างปะปนมากับก้อนศิลาพลิกวูบเข้าในเงามืด ยามผู้นั้นหาได้หันมอง มันรอชั่วครู่ก็โยกคันบังคับคืน กระบะเหล็กพลิกกลับวางลงบนล้อ เคลื่อนออกจากสถานี ยามผู้นั้นหลับตาเหยียดขาแล้วเอนหลังกอดอก ทำปากหมุบหมิบขยับลิ้นเหมือนจะควานหาอาหารตกค้างมาเคี้ยว

ก้อนศิลากองสูงท่วมหัวจากสถานีเรื่อยลงเบื้องล่าง คนงานร่างกายเต็มด้วยเหงื่อไคลผิวหนังเป็นรอยแผลพุพองยกก้อนศิลาส่งเข้าเตาเผา เบื้องล่างยังมีคนงานอีกกลุ่มสุมท่อนฟืนขนาดใหญ่ตลอดเวลา มียามกุมอาวุธคอยเร่งเร้าฟาดโบยแส้ส่งเสียงเขวียบขวับก้องโถง เปลวเพลิงจากเตาบันดาลให้โถงศิลาระอุร้อนประดุจนรกโลกันตร์มิปาน

คนงานผู้หนึ่งยกก้อนศิลาเหลือบตามองผู้คุม เห็นมันโบยตีคนงานอื่นมิได้หันมาใส่ใจ มันวางก้อนศิลาลงอย่างแผ่วเบา ซุกตัวหลบหลังซอกหิน อาศัยหลืบเงาค่อย ๆ ปีนป่ายขึ้นสู่เบื้องบน คมหินบาดฝ่าเท้าเปล่าเปลือยเลือดซิบ มันขยับขึ้นทีละน้อย

พลันได้ยินเสียงผู้คุม

"กลับลงมา!"

มันหันมองลงไป ผู้คุมขบเขี้ยวเคี้ยวฟันโบกแส้ในมือ พวกคนงานอื่นมองตาค้างไม่มีใครกล้าขยับกาย แหงนมองเห็นแง่งหินด้านบนอยู่อีกไม่ไกล มันตัดสินใจเร่งมือเท้าปีนป่ายขึ้นไป

เอื้อมมือสุดแขนฉวยแง่งหินคมไว้แน่นแล้วเกร็งกำลังดึงตัวขึ้น มันแย้มยิ้มเหนี่ยวกายเตรียมเหวี่ยงขาตามขึ้นมา จากนั้นจะวิ่งออกสู่ภายนอก ไปสู่อิสรภาพ กลับไปหาครอบครัว

รอยยิ้มพลันชะงักค้างเมื่อใบหน้าแนบกับเท้าคู่หนึ่ง!

ร่างมันลอยละลิ่วลงปะทะแง่งหินเบื้องล่าง กระอักโลหิตออกมา คนงานผู้หนึ่งรีบวิ่งเข้าประคอง

"พี่สอง!"

มันลืมตามอง ขยับริมฝีปากเต็มด้วยโลหิต "น้องสาม" มันสำลักโลหิตในปากอีกสองสามครั้ง "ฝากดูแลครอบครัวข้าฯ ด้วย"

กล่าวเพียงนั้นมันกระอักโลหิตอีกคราพลันศีรษะตกสิ้นลมหายใจ ผู้คุมรีบวิ่งเข้ามาถีบคนงานผู้นั้นกลิ้งหลุน ๆ

"กลับไปทำงาน!" มันตวาด

คนงานผู้นั้นขยับลุก เหลียวมองร่างสหายนอนแน่นิ่งบนกองโลหิต

"ยังมีผู้ใดคิดหนีอีก!?" ผู้คุมสะบัดแส้ใส่คนงานผู้นั้น มันเบี่ยงใบหน้าหลบ สายตายังคงจ้องมองสหายแน่วนิ่ง ผู้คุมก้าวเข้ามายกเท้าถีบ มันเซถลาล้มกลิ้งไปชนกำแพงศิลา จากนั้นหวดแส้ใส่มันไม่อาจนับจำนวนครั้ง คมแส้บาดเสื้อผ้าฉีกขาด เลือดเนื้อเลอะเป็นริ้วรอยทั้งร่าง สายตายังคงจ้องมองร่างสิ้นลมหายใจของสหาย    
ผู้คุมชักดาบออกจากหว่างเอวสืบเท้าเข้ามา "เห็นพวกเจ้าเป็นห่วงเป็นใยเราพานส่งเสริมให้ได้อยู่ร่วม" มันเงื้อดาบฟันลงไป

สภาวะดาบมาได้เพียงครึ่งทาง ใบหน้ามันพลันยุบหาย ร่างล้มตึงไปด้านหลัง

จิ้งจอกโลกันตร์ก้าวเท้าออกจากซอกหิน กล่าวด้วยเสียงราบเรียบ

"ยึดอาวุธพวกมัน แล้วชักชวนกันปีนขึ้นสู่ด้านบน" มันแหงนหน้ามองขึ้นไป "คนผู้นั้นข้าพเจ้าจัดการเอง"

คนงานผู้นั้นวิ่งหยิบดาบของผู้คุม กวัดแกว่งกระชับมือ จากนั้นสะบัดดาบสังหารผู้คุมที่โผเข้ามา พวกคนงานที่เหลือคว้าศิลาน้อยใหญ่กรูกันทุบผู้คุมใกล้ตัว พวกผู้คุมชักอาวุธต่อสู้แต่จำนวนคนงานสุดคณานับ พวกที่หลบหนีไม่ทันล้วนถูกสังหารในสภาพร่างกายแหลกเละ

จิ้งจอกโลกันตร์ทะยานขึ้นสู่เบื้องบน ใช้ปลายเท้าสะกิดผนังศิลาเพียงสองสามครั้งก็บรรลุถึง สะบัดดาบจู่โจมหัวหน้าผู้คุม มันชักดาบออกขวางรับ คมดาบยังไม่ทันสัมผัสกัน ดาบในมือมันพลันหักสะบั้น มันแตกตื่นเหงื่อกาฬหลั่งไหล รีบโยนดาบทิ้ง ผละหนีโลดแล่นเข้าภายในช่องอุโมงค์สลับซับซ้อน จิ้งจอกโลกันตร์เร่งรุดติดตาม ตลอดทางถูกสกัดขัดขวางจากพวกผู้คุม มันสะบัดดาบทะยานไปข้างหน้า ผู้คุมล้มลงคนแล้วคนเล่า  จิ้งจอกโลกันตร์ติดตามค้นหาจนพลัดหลงเข้าสู่ห้องโถงศิลาที่มีแสงสว่างเจิดจ้าเรืองรอง ภายในบรรจุไว้ด้วยทองคำแท่งเรียงซ้อนสูงท่วมศีรษะ มันสะกิดเท้าโผทะยานขึ้นไปหยุดยืนบนกองทองคำ กวาดตาสำรวจโดยรอบ

โถงศิลากว้างใหญ่ นอกจากช่องทางที่มันเข้ามา ยังมีอุโมงค์ที่ลำธารใต้หุบเขาไหลผ่าน  

ภายนอก พวกคนงานกรูออกจากช่องอุโมงค์ราวมดแตกรัง ใช้อาวุธใกล้ตัวที่หยิบคว้ามาได้กวัดแกว่งต่อสู้กับผู้คุม พวกผู้คุมเสริมกำลังสกัดขัดขวาง ขณะเดียวกันคนงานที่มีจำนวนมากกระจัดกระจายหนีคนละทิศทาง บ้างทำลายข้าวของ บ้างจุดไฟเผากระโจม โกลาหลไปทั่ว

อสูรฟ้านำกองกำลังที่ออกติดตามจิ้งจอกโลกันตร์กลับเข้าหุบเขา พบเหตุจราจล เร่งม้าเข้าปิดกั้นทางออก เหล่าชายฉกรรจ์ที่อยู่กับอสูรฟ้าล้วนยอดฝีมือ พวกมันกระจายออกเป็นหน้ากระดาน ควงอาวุธก้าวเท้าไปข้างหน้า พวกคนงานถูกยันจนต้องถอยร่น

"สกัดพวกมันไว้อย่าให้เล็ดลอดแม้คนเดียว!" อสูรฟ้าสั่ง "เราจะไปพบเจ้าหุบเขา"

กล่าวจบมันโลดแล่นไปยังกระโจมสีทอง

พวกคนงานที่พอมีฝีมือพยายามต่อสู้ เปิดโอกาสให้พวกพ้องหลบหนี แต่ล้วนถูกอาวุธล้มตายจนหุบเขากลายเป็นลานสังหาร คนงานที่เหลือเริ่มสิ้นหวัง พากันถอยร่นเข้าในอุโมงค์ไม่มีใครกล้าต่อสู้อีก

เหล่ายอดฝีมือคมดาบอาบโลหิต เดินดาหน้าทีละก้าว 

จิ้งจอกโลกันตร์ทะยานออกจากอุโมงค์ สะบัดดาบทั้งร่างยังแขวนอยู่กลางอากาศ พลังดาบเปล่งรัศมีมรกตเรืองรอง แผ่โค้งเป็นวงจันทร์ เหล่าชายฉกรรจ์ยอดฝีมือร่างกระเด็นจากพื้น ลอยละลิ่วราวว่าวขาดป่าน อาวุธในมือหักสะบั้น 

พวกคนงานส่งเสียงโห่ร้องกรูกันออกวิ่ง แต่แล้วต้องหยุดชะงักเมื่อยินเสียงตวาด

"หยุดไว้!"

อสูรฟ้าก้าวขึ้นบนยกพื้นกล่าวอย่างแย้มยิ้ม "ค้นหาเสียนานที่แท้อยู่นี่ ท่านลองดูสิข้าพเจ้าได้อะไรมา?"

จิ้งจอกโลกันตร์หาได้ฟังเสียง มันขยับร่างวูบเดียว คมดาบบรรลุถึงลำคออสูรฟ้า อสูรฟ้าชักดาบอ่อนออก กลับช้าชั่ววูบ หากหวังใช้ดาบอ่อนต้านรับ มีแต่สูญเสียศีรษะ มันกลับสะบัดดาบไปด้านข้าง ดาบอ่อนแปรสภาพเป็นเหยียดตรงส่งเสียงหวีดหวิวราวกระดึงต้องลม อสูรฟ้าตวาดก้อง

"หากท่านยังขยับ เราจะฆ่านางทิ้งเสีย!"

จิ้งจอกโลกันตร์ชะงักท่าร่าง ลมภูเขาพัดพรูเส้นผมของมันพลิ้วไหว  ขณะคมดาบยังจ่อคออสูรฟ้า  มันเหลียวหน้าไปอย่างเชื่องช้า

ดรุณีหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็กในชุดดำรัดกุมถูกยามเค้าหน้าอัปลักษณ์จับตัวไว้ ดรุณีทั้งสองส่งยิ้มเหยเก

จิ้งจอกโลกันตร์สีหน้าเฉยเมยเหมือนไม่เคยรู้จักทั้งคู่มาก่อน มันตวัดดาบในมือ อสูรฟ้าแตกตื่นรีบเบี่ยงตัวหลบ ดาบอ่อนของมันพลันถูกพลังปะทะรุนแรง อาศัยพลังสะท้อนหมุนวกคมดาบกลับมา จิ้งจอกโลกันตร์ฟันดาบออก คมดาบปะทะกัน เกิดฝนประกายไฟพร่างพรู จิ้งจอกโลกันตร์ส่งฝ่ามือออก อสูรฟ้าถลันหลบ คมดาบของจิ้งจอกโลกันตร์พลันตวัดไปทางดรุณีทั้งสอง

ยามเค้าหน้าอัปลักษณ์ล้มลงในเวลาพร้อมเพรียง บนลำคอเพิ่มเส้นโลหิตบอบบาง อสูรฟ้าพลิ้วกายส่งปลายดาบจ่อลำคอดรุณีใหญ่ ตวาดว่า

"ท่านหากยังลงมือ เราจะไม่กล่าวซ้ำ!"

"พวกนางไม่มีที่ใดเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า"

ดรุณีทั้งสองยินเช่นนั้นสีหน้าพลันสลด จิ้งจอกโลกันตร์สะบัดดาบอีกครา เบื้องล่างพลันมีเสียงร่ำร้อง

"ผู้มีคุณ โปรดได้ยั้งมือ"

เป็นคนงานที่จิ้งจอกโลกันตร์ช่วยชีวิตไว้ มันก้าวเท้าออกมาข้างหน้า วางดาบลง ประสานมือกล่าว

"บุญคุณช่วยเหลือจะไม่ขอลืม แต่ชีวิตคนทั้งสองยังต้องรักษาไว้" มันหันกล่าวกับอสูรฟ้า "ขอเพียงปล่อยพวกนางไป พวกเรายินยอมกลับเข้าทำงานในอุโมงค์"

พวกคนงานที่เหลือโยนอาวุธลงพื้น ทิ้งเข่าลงประสานมือกล่าวโดยพร้อมเพรียง

"ผู้มีคุณโปรดยั้งมือ"

"ไม่ได้!" ดรุณีใหญ่แผดเสียง "พี่สาม ท่านอย่าได้ทำเช่นนี้ ผู้มีคุณย่อมทราบ ชีวิตเราสองแลกกับชีวิตและครอบครัวของพวกท่านนั้นเกินคุ้ม" นางกล่าวพลางเหลียวมองจิ้งจอกโลกันตร์ มันยืนนิ่งราวรูปสลัก มีเพียงประกายตาที่ยังเคลื่อนไหว

"แต่.." พี่สามส่งเสียง

"หรือท่านไม่คิดถึงครอบครัว!" นางกล่าวขัด "มารดาท่าน ใครดูแล!?"

พี่สามก้มหน้านิ่งกำฝ่ามือแน่นจนเส้นเอ็นปูดโปน ริมฝีปากสั่นระริก

นางกล่าวอีกว่า "ผู้มีคุณสามารถช่วยเหลือพวกท่านกลับหมู่บ้าน อย่าให้เราสองต้องทำลายโอกาสดีงามครั้งนี้"

กล่าวจบนางพลันเคลื่อนลำคอหาคมดาบ จิ้งจอกโลกันตร์ส่งมือออก ที่ลำคอนางสัมผัสกลับเป็นนิ้วของมัน นิ้วที่กำคมดาบ หยาดโลหิตหยดไหล นางขมวดคิ้ว สีหน้ามันยังคงแน่วนิ่ง ปากกล่าววาจา

"แล้วกันไปเถอะ"

อสูรฟ้าแย้มยิ้มอย่างเยือกเย็น ตวาด "จับมันไว้!"

พวกยามกรูเข้าล้อมจับจิ้งจอกโลกันตร์มัดมือไพล่หลัง พวกคนงานถูกฟาดโบย ถอยร่นกลับเข้าในอุโมงค์

เวลานั้นยามผู้หนึ่งวิ่งขึ้นมากระซิบแก่อสูรฟ้า มันเบิกตาลุกโพลง สีหน้าแตกตื่น ออกคำสั่ง "นำทั้งหมดไปขังไว้ก่อน" จากนั้นโลดแล่นตามยามผู้นั้นโผเข้าอุโมงค์ไป

ไม่กี่อึดใจบรรลุถึงโถงใหญ่ใช้เก็บทองคำแท่ง เวลานี้ห้องโถงว่างเปล่า อย่าว่าแต่แท่งทองคำ แม้มุสิกสักตัวยังไม่มีให้พบเห็น ยินเพียงเสียงลำธารหลั่งไหลก้องโถง อสูรฟ้าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน วิ่งไปยืนตรงตำแหน่งที่เคยมีกองทองคำ ไม่ยินยอมเชื่อถือว่าทองคำแท่งที่สูงท่วมหัวจะอันตรธานชั่วพริบตา มันหันมาถามยามผู้นั้นว่า

"เจ้าหุบเขาทราบเรื่องหรือยัง?"

ยามผู้นั้นยังมิทันเอ่ยวาจาพลันยินเสียง

"เราย่อมทราบเรื่องแล้ว" ราชสีห์เกราะทองเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าโดยมีองครักษ์ทั้งสี่ล้อมหน้าหลัง "เพียงที่ยังไม่ทราบคือทองคำพวกนั้นหายไปได้อย่างไร?" องครักษ์ทั้งสี่แยกย้ายยืนเฝ้าทางเข้า

"หรือยังมีมือเท้าของจิ้งจอกโลกันตร์" อสูรฟ้าประสานมือขณะกล่าววาจา

"จิ้งจอกโลกันตร์ปฏิบัติงานโดดเดี่ยวตลอดมา ยังไม่เคยได้ยินว่ามันยินยอมละทิ้งกฎเคยชิน" ราชสีห์เกราะทองเดินวนสำรวจร่องรอยบนพื้นศิลา "เจ้าคิดว่าทองคำหลายหมื่นชิ้นต้องใช้ผู้คนเท่าไรจึงสามารถถ่ายเทไปได้ในพริบตา" มันสะบัดผ้าคลุมเผยเกราะทองแวววาวใต้เงาผ้าสีเลือดนก "โดยคนของเราไม่รู้ไม่เห็น"

อสูรฟ้าขบริมฝีปากครุ่นคิด ผ่านไปเนิ่นนานค่อยกล่าววาจา

"หรือมิใช่ฝีมือจิ้งจอกโลกันตร์?"

"อืมม์" ราชสีห์เกราะทองผงกศีรษะ "เจ้าคิดว่าเป็นคนของเรา?"

"คนที่ท่านไว้ใจที่สุด ใกล้ชิดท่านที่สุด และคุมกำลังคนของเรามากที่สุด"

"นั่นเป็นเจ้า!"

ราชสีห์เกราะทองจ้องมองอสูรฟ้าแน่วนิ่ง มันพยักหน้าประกายตาคมกล้าไร้แววประหวั่นพรั่นพรึง ราชสีห์เกราะทองกล่าวว่า

"กลยุทธ์แบ่งแยกแล้วทำลาย" 

"*ชาวประมงรอคอยฉกฉวยโอกาส"

"แต่หากไม่มีทองคำส่งหุบเขาหัวกะโหลกตรงเวลานัดหมาย เกรงว่าเราล้วนมิอาจรอดพ้นภัยพิบัติ"          

อสูรฟ้าขมวดคิ้วแนบแน่น มันครุ่นคิดจนศีรษะแทบแตกระเบิดยังไม่อาจเฟ้นหาเบาะแส กำหนดส่งทองใกล้เข้ามา เร่งคนงานเยี่ยงไรก็ไม่อาจทันการณ์ มีแต่ต้องเสาะหาทองคำพวกนั้นกลับคืนมา มันกล่าววาจาอย่างนอบน้อม

"คิดว่าธิดาทั้งสองมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่?"

"พวกนางไม่รู้เรื่องทอง" ราชสีห์เกราะทองกล่าว "และไม่เคยล่วงล้ำเข้ามาในเขตนี้"

"เช่นนั้นมีแต่เค้นเอาจากจิ้งจอกโลกันตร์"

"เจ้าเร่งจัดการ" ราชสีห์เกราะทองสะบัดผ้าคลุมสาวเท้าออกจากโถงโดยมีองครักษ์ทั้งสี่ติดตาม

11

เสียงฝีเท้าก้องในอุโมงค์ โคมบนผนังให้แสงพอเห็นเส้นทางสลัวราง ผนังศิลาชื้นด้วยสายน้ำเซาะไหลเรียบเลาะลงไปตามร่องพื้นอุโมงค์ มุสิกน้อยคลานต้วมเตี้ยมบนก้อนศิลาชิดผนัง มันหยุดยืนมอง ราชสีห์เกราะทองพร้อมองครักษ์วกเข้าอุโมงค์มา องครักษ์ผู้หนึ่งเหลือบมองมุสิกน้อย มุสิกน้อยขยับปากหมุบหมิบ มองทั้งหมดลดเลี้ยวเข้าอุโมงค์ข้างขวา ราชสีห์เกราะทองหันมากล่าวว่า

"พวกเจ้ารอคอยอยู่นี่"

จากนั้นส่งมือเข้าร่องศิลาดึงกลไก บานศิลาเคลื่อนออกพอคนผู้หนึ่งเข้าไปได้ มันปล่อยมือ เดินผ่านช่องประตูเข้าไป บานศิลาส่งเสียงครืดคราดเคลื่อนกลับเข้าที่  

ดรุณีน้อยทั้งสองหันขวับ ทันทีเห็นผู้มาคนทั้งคู่แย้มยิ้มร่ำร้อง

"บิดา!"

วิ่งโผเข้าสวมกอดส่งเสียงสะอื้นไห้ 

ราชสีห์เกราะทองโอบกอดคนทั้งคู่ มือลูบศีรษะพวกนางแผ่วเบา "ดูพวกเจ้า พบบิดากลับร่ำไห้"

ดรุณีน้อยทั้งสองใช้แขนเสื้อป้ายใบหน้าแย้มยิ้มทั้งคราบน้ำตา "พวกเราคิดถึงบิดาทุกคืนวัน พยายามติดตามเสาะหา" นางเลื่อนไล้วาวตาเพ่งพินิจบุรุษวัยกลางคนสีหน้าเปี่ยมการุณย์ กล่าวถามว่า "บิดาสบายดี?"

"เจ้าดูเราเป็นเช่นไร?" นางปล่อยมือที่สวมกอด ถอยกายออกก้าวหนึ่ง บุรุษวัยกลางคนตรงหน้าแม้ดูอิดโรยไปบ้าง แต่เปี่ยมสง่าราศี ร่างกายสูงใหญ่ตั้งตรงดุจคันทวน นางแย้มยิ้มซบหน้ากับอกบิดาโอบแขนกอดไว้แน่น

ราชสีห์เกราะทองหันถามธิดาน้อย "แปะก๊วยเจ้ายังซุกซนอยู่อีกหรือไม่?"

"ข้าพเจ้าไม่" แปะก๊วยรีบส่ายหน้า "ข้าพเจ้าเชื่อฟังเจ้เจ๊ (พี่สาว) ตลอดมา"

ราชสีห์เกราะทองหัวร่อฮาฮา "นับว่าเจ้าเติบโตเป็นดรุณีใหญ่แล้ว"

แปะก๊วยใช้มือป้ายน้ำตาแย้มยิ้มแล้วทิ้งตัวหาบิดา

"โอ๊ย! เบา เบา" ราชสีห์เกราะทองร้องลั่น "พวกเจ้ากอดรัดจนบิดาหายใจไม่ออกแล้ว"

ดรุณีน้อยทั้งสองซบอกบิดานิ่งอยู่เนิ่นนาน จึงกล่าววาจา

"จริงสิบิดา ช่วยผู้มีคุณด้วย เนื่องเพราะต้องการช่วยเหลือพวกเรา มันถูกอสูรฟ้าจับตัวไว้"

ราชสีห์เกราะทองพยักหน้า "เรื่องนั้นพวกเจ้าไม่ต้องกังวล บิดาจะจัดการให้"

"ยังมีพวกบุรุษในหมู่บ้าน ล้วนถูกต้อนเข้าทำงานในอุโมงค์"

"มีเรื่องเช่นนั้น!"

"ข้าพเจ้าเห็นกับตา"

"พวกเจ้าเคยเข้าไปในอุโมงค์?"

"พวกเราเข้าไปครั้งหนึ่ง แต่หนทางวกวนเกรงพลัดหลงได้แต่กลับออกมา"

"เช่นนั้นพวกเจ้าคงไม่รู้เห็น" ราชสีห์เกราะทองพึมพำ

"บิดาว่ากระไร?" ดรุณีน้อยถาม

ราชสีห์เกราะทองส่ายหน้า กล่าวว่า "พวกเจ้ารอคอยอยู่ที่นี่ เสร็จเรื่องแล้วบิดาจะกลับมารับ"

"พวกเราไปด้วย!" ดรุณีน้อยร้องบอก

"บิดายังจะต้องช่วยคนที่เหลือ อย่าให้บิดาต้องห่วงกังวล"

ดรุณีน้อยทั้งสองสีหน้าสลดผงกศีรษะ ราชสีห์เกราะทองโอบธิดาทั้งสองแนบแน่นแล้วหันกายยื่นมือเคาะประตูศิลาสามครั้ง บานประตูพลันเลื่อนออก มันเดินออกจากห้องศิลาโดยไม่หันมองคนทั้งสอง บานศิลาปิดตามหลังมันทันที

12

ในความมืดสลัวของหลืบถ้ำศิลา จิ้งจอกโลกันตร์ถูกมัดขึงตรึงมือเท้าแขวนร่างกลางอากาศ กายท่อนบนเปลือยเปล่าล้วนมัดกล้ามแกร่ง ทั่วร่างกลับเต็มด้วยริ้วรอยแผลเป็นจากคมอาวุธ ยังเพิ่มแผลใหม่จากปลายคมแส้ เป็นเส้นริ้วโลหิตสับสนยับเยินทั่วร่าง

คมเชือกบาดข้อมือข้อเท้าคล้ายมีเกล็ดแหลมคมทั้งรัดแน่นขึ้นทุกทีราวมีชีวิต ปลายเชือกโยงใยมาจากสี่ทิศทาง ลับหายในม่านหมอก จิ้งจอกโลกันตร์พยายามเพ่งมองสุดสายปลายเชือก เห็นเพียงเงาตะคุ่มไม่อาจจำแนกแยกแยะ ฉับพลันเชือกทั้งสี่เส้นถูกกระตุกพร้อมกัน พลังฉุดรั้งมหาศาลถูกส่งออกมาปานจะแยกร่างมันออกเป็นเสี่ยง

จิ้งจอกโลกันตร์เกร็งกำลังแขนขาต้านพลังทั้งสี่สาย กล้ามเนื้อเขม็งตึงพองตัวจนแทบปลิแตก เส้นเลือดเส้นเอ็นปูดโปน นัยน์ตาแดงก่ำ กลับมีประกายพลังเจิดจ้าพุ่งวาบมาตามเส้นเชือก จิ้งจอกโลกันตร์ถูกตรึงไว้ไม่อาจหลบเลี่ยง มันเกร็งพลังต้านรับ เกิดกำแพงพลังรุนแรงเส้นผมมันกระพือพัดพลิ้วในกระแสพลังปั่นป่วน

พลังทั้งสี่สายพวยพุ่งเข้าปะทะ

เสียงระเบิดกัมปนาท! 

จิ้งจอกโลกันตร์โลหิตหลั่งไหลออกทวารทั้งสี่ พลันประกายอาวุธสีเพลิงสาดวาบลงมาจากเบื้องบน มันตัดสินใจระเบิดตัวเอง

แสงสว่างสีมรกตเรืองรองปะทุขึ้นตามด้วยเสียงระเบิดกึกก้อง!

เชือกทั้งสี่เส้นขาดกระจุยสะบัดพลิ้วไร้ทิศทาง ร่างยับเยินของจิ้งจอกโลกันตร์หล่นร่วงลงในหุบเหว คว้างปลิวราวเศษผ้าฉีกขาด

ไม่ทราบผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด มันรู้สึกคล้ายใบหน้าสัมผัสธารน้ำใสเย็น มันไม่อาจลืมตา

กระทั่งสายน้ำสาดซัดอีกครา

มันสะบัดศีรษะ เส้นผมกวัดแกว่ง ละอองน้ำสะท้อนเงาแสงกระเซ็นซ่าน ยินสำเนียงเสียงที่เคยคุ้น

"รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านแล้ว"

จิ้งจอกโลกันตร์พยายามลืมตามอง เห็นภาพเลือนรางตรงหน้า มีคนเดินมาหยุดยืน จิ้งจอกโลกันตร์สะบัดศีรษะอีกสองสามครั้งจึงสามารถมองเห็นชัดถนัดตา อสูรฟ้าสลัดเสื้อผ้าลากเก้าอี้มานั่ง ปัดมือให้ผู้คุมล่าถอยออกไป

"ท่านคงไม่คิดว่าจะมีวันนี้" อสูรฟ้ากล่าววาจาอย่างแย้มยิ้ม "ยามนี้อาศัยข้าพเจ้าผู้เดียวคงจัดการท่านได้แล้วกระมัง?"

จิ้งจอกโลกันตร์ยิ้มทั้งมุมปากโลหิตไหลเป็นทาง มันกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

"ข้าพเจ้าหวังให้ท่านทราบเรื่องรายหนึ่ง"

อสูรฟ้าผงกศีรษะซ้ำ ๆ รอฟัง จิ้งจอกโลกันตร์อ้าปากกล่าววาจาแต่กระแสเสียงกลับไม่อาจหลุดลอดออกมา อสูรฟ้าด้วยใคร่รู้เหลือบตาสำรวจโซ่พันธนาการก่อนขยับเข้าใกล้ จิ้งจอกโลกันตร์กล่าวแทบไม่เป็นเสียง

"ข้าพเจ้าไม่มีวันละเว้นท่าน"

รอยยิ้มอสูรฟ้าชะงักงัน มันก้าวถอยออกมา จากนั้นเปล่งเสียงหัวร่อฮาฮาลั่นโถงศิลา

"จิ้งจอกโลกันตร์..จิ้งจอกโลกันตร์" มันนั่งลงเอนหลังพิงพนัก "ท่านต่อให้มีแปดเศียรสิบกร ครั้งนี้นับว่าสูญเสียหมดสิ้น วาจาห้าวหาญของท่านเก็บไว้ใช้ในนรกภูมิเป็นไร"

จิ้งจอกโลกันตร์หลับตานิ่ง อสูรฟ้ากล่าวอีกว่า

"จุดอ่อนของท่านคือเมตตาธรรม มันทำลายชีวิตท่าน ยังไม่คิดจดจำ ครั้งนี้กระทำผิดซ้ำสอง ต่อให้ท่านมีอีกร้อยชีวิตเห็นจะไม่พอให้ใช้กระมัง"

"ผิดที่มีสหายเยี่ยงท่าน" จิ้งจอกโลกันตร์กล่าวทั้งหลับตา

อสูรฟ้าหัวร่อคักคัก กล่าวว่า

"นั่นย่อมเป็นเพราะท่านไม่รู้จักดูคน ไม่สามารถแยกแยะผู้ใดมิตรผู้ใดศัตรู ในมิตรมีศัตรู ในศัตรูมีมิตร มนุษย์เราหากไม่รู้จักแยกแยะหยิบฉวยมาใช้ให้เป็นประโยชน์ บั้นปลายย่อมเป็นเยี่ยงท่าน"

จิ้งจอกโลกันตร์หุบปากนิ่ง คนทั้งคู่นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน หยาดน้ำปนโลหิตหยดลงพื้นเสียงก้องโถงศิลา อสูรฟ้าลุกขึ้นมือไพล่หลังเดินไปมาสองสามรอบจึงหันมากล่าว

"ท่านยังพอมีหนทางให้เลือก" มันเหลือบหางตามองจิ้งจอกโลกันตร์ที่แขวนร่างนิ่ง "ตายที่นี่หรือตายที่หุบเขาหัวกะโหลก" มันยื่นหน้าส่งเสียงกระซิบ "ตายที่หุบเขาหัวกะโหลกทรมานนิดหน่อย แต่ได้ต่อลมหายใจอีกสักเล็กน้อย"

จิ้งจอกโลกันตร์สีหน้าเฉยเมย อสูรฟ้ากล่าวอีกว่า

"เพียงท่านบอกมา ทองคำแท่งพวกนั้นอยู่ที่ใด ข้าพเจ้าจะละเว้นท่านสักชั่วคราว"

"ทองคำของพวกท่านเกี่ยวอันใดกับข้าพเจ้า?"

"เฮอะ!" อสูรฟ้าร้องลั่น "ท่านพอโผล่มา ทองคำแท่งที่หล่อหลอมอย่างลำบากยากเย็นพลันอันตรธาน ยังกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้อง!"

"ด้วยนิสัยตลบตะแลงของท่าน ท่านอาจฮุบไว้เอง แล้วโยนหม้อก้นดำให้ข้าพเจ้า"

อสูรฟ้าร้อง "เฮอะ!" พลันกล้ำกลืนวาจา กลอกตาครุ่นคิด 'เหตุการณ์เกิดขึ้นตอนมันออกไปภายนอก หรือราชสีห์เกราะทองสร้างฉากนี้ขึ้นมา' มันตะโกนเรียกผู้คุม 

"โบยจนกว่ามันยอมบอก!" จากนั้นผลุนผลันออกจากโถงศิลา      

ผู้คุมแสยะยิ้มเห็นฟันดำ สะบัดแส้ลงพื้นเสียงเขวียบขวับ จิ้งจอกโลกันตร์จ้องมองมันแน่วนิ่งส่งยิ้มตอบอย่างเยือกเย็น มันยิ้มค้าง หุบปากสะบัดปลายแส้เพิ่มรอยแผลเป็นทาง กล้ามเนื้อแกร่งกระตุก หยาดโลหิตกระเซ็นซ่านทุกครั้งคมแส้สะบัดผ่าน เสียงแส้ดังก้องโถงไม่อาจนับจำนวนครั้ง ผู้คุมหวดจนเหนื่อยหอบสิ้นเรี่ยวหมดแรง เหงื่อกาฬเนืองนอง มันใช้ท่อนแขนปาดเหงื่อที่ไหลเข้าตา จิ้งจอกโลกันตร์เงยหน้าขึ้นช้า ๆ รอยแผลเป็นหว่างคิ้วเหมือนยิ่งเด่นชัดพาดผ่านวาวตาคมขลับ 

มันยิ้มอย่างเยือกเย็น

ผู้คุมกัดฟันสะบัดแส้อีกครา จากนั้นทิ้งแส้ลงพื้น หันหน้าเดินไปรินสุรา ยกซดรวดเดียวหมดถ้วย เหลือบมองจิ้งจอกโลกันตร์ที่ยังยิ้มค้างจ้องมองมันแน่วนิ่ง มันซัดถ้วยสุราลงพื้น สะบัดหน้าจากไปโดยไม่เหลียวมอง

ความเงียบคืนกลับสู่โถงศิลา ยินเสียงหยดโลหิตหล่นลงแอ่งเบื้องล่างทีละหยด.. ทีละหยด

จิ้งจอกโลกันตร์คอพับ อ้าปากปล่อยให้โลหิตร่วงไหล แม้ลมหายใจร่อแร่รวยริน ปฏิกริยายังตื่นตัว มันเลิกคิ้วมองโซ่ข้างขวา มุสิกตัวหนึ่งคาบพวงกุญแจไต่โซ่ลงมา มันแบมือกำพวงกุญแจไว้

ไม่กี่อึดใจ ร่างที่เต็มด้วยโลหิตก็ร่วงลงบนแอ่งศิลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น