๓
เสียงไก่ขันสอดทอดรับสำเนียงกันเจื้อยแจ้ว อุษาสางทอริ้วสีทองรำไร พวกนกกาพากันบินจากรวงรังเริงร้องก้องขานไปทั่วลานฟ้า บ้างโผลงมาเกาะศาลาท่าน้ำ กระโดดกระเซ้าเย้ายิกกันอยู่บนหลังคา
ที่ท่าน้ำเชิงบันไดศาลา สไบทองประคองทัพพีเงินฉลุลาย แช่มช้อยบรรจงตักข้าวสวยเมล็ดขาวคุกรุ่นอุ่นไอ เมล็ดข้าวนวลพอดีพูนทัพพีไม่ล้นจนอาจตกหล่น เคลื่อนมือจากขันเงินสู่บาตรลงยาเบื้องหน้าสงฆ์ ช้อนมือประจงใส่ข้าวลงบาตร วางทัพพีคืนขันเงิน รับดอกไม้มาลัยพร้อมธูปเทียนวางเหนือบาตร พนมมือค้อมศีรษะหน้าผากจรดปลายนิ้วรีบศีลรับพร
พระสงฆ์พายเรือจากไป นางมองตามกระเพื่อมคลื่นคล้อย เรือสงฆ์ลอยลำตามกันในแสงอรุณฉาย จีวรสีหมากสุกเป็นประกายสะท้อนพรายอยู่ในเงาน้ำ
"ดูเหมือนดอกบัวลอยเหนือน้ำเลยนะป้าสาย"
หญิงกลางคนชะงักมือจัดสำรับ หันมองเรือบุญล่องลอยตามกัน ไม่กล่าวกระไรนางหยิบช่อดอกไม้ที่เหลือวางลงเหนือขันโตกหวาย
แสงเงินแสงทองเพิ่งทอริ้วผ่านทิวเมฆ สายลมอรุณพัดเฉื่อยเอื่อยอ่อนโชยชายสไบพลิ้วไหว เสียงสำรับกระทบกันกุกกัก สไบทองหันมอง หญิงกลางคนยิ้มเจื่อน
"ประทานโทษเจ้าค่ะ อิฉันซุ่มซ่ามแก้ไม่หายสักที"
หญิงสาวหยัดกายลุก "สำหรับฉันไม่เป็นไรดอกจ้ะป้าสาย เกรงต่อหน้าคุณพี่จะโดนดุ" ก้าวจากบันไดท่าน้ำขึ้นบนศาลา นางบ่าวยกขันโตกสำรับก้าวตาม หญิงสาวหยุดกายนั่งบนศาลาเอื้อมหยิบโถกรวดน้ำถมตะทองกล่าวคำอุทิศส่วนกุศลรินน้ำลงพานรองไม่ขาดสาย เสร็จคำพร้อมน้ำสิ้น ส่งพานรองให้นางบ่าวนำไปรดโคนต้นมะยมจากนั้นลุกเดิน
"เอาสำรับไปเก็บแล้วเร่งจัดโต๊ะอาหารเช้าก่อนเวลานะจ๊ะ เช้านี้คุณพี่จะรีบไปทำงาน"
"เจ้าค่ะ" นางบ่าวยกสำรับก้าวตามคอยระมัดระวังไม่ให้ข้าวของกระทบ "ยินว่าจะมีแขกบ้านแขกเมืองประจวบพวกเจ๊กก่อการประท้วงนายจ้าง ช่วงนี้คุณท่านคงกำลังยุ่ง"
"คงเป็นเช่นนั้น หมู่นี้กลับล่วงเวลาทั้งยังกรำงานจนดื่นดึก ฉันไม่รู้อะไรมากดอกจ้ะ"
"คุณท่านไม่เผยให้ฟังบ้างฤาเจ้าคะ"
"คุณพี่ไม่คุยเรื่องงานกับเราดอกจ้ะ" หญิงสาวเดินลดเลี้ยวตามทางโรยกรวดขนาบพุ่มมะลิซ้อนส่งกลิ่นหอมเย็นสองข้างทาง "เราเป็นข้า มีหน้าที่ดูแลบ้านเรือนเพื่อคุณท่านได้กลับมาพักผ่อนหลังกรำงานจากภายนอกก็เพียงพอแล้ว ป้าสายอยากรู้ไปทำไมล่ะจ๊ะ"
นางบ่าวยิ้มหน้าเจื่อนเห็นฟันดำคราบหมาก หยุดฝีตีนตรงทางแยกไปโรงครัว
"อย่าลืมเร่งจัดสำรับเช้านะ"
"เจ้าค่ะ"
****
เสียงเครื่องเรือครางเรียบสม่ำเสมอ นายพุ่มคนถือท้ายนั่งยองบนท่าน้ำยึดเสาเก๋งยื้อแรงโคลงคลื่น พระยาจักรปาณีศรีศิลวิสุทธิ์ในชุดราชประแต็นยื่นมือรับกระเป๋าหนังจากหญิงผู้เป็นที่รัก
"เช้าวันนี้สไบทองของฉันสวยเป็นพิเศษ คงเพราะมีคันฉ่องเครื่องนั้น"
สไบทองอมยิ้มหลบสายตา คุณพระส่งกระเป๋าให้นายพุ่ม หันมากล่าว "ฉันออกไปปฎิบัติราชกิจสนองพระเดชพระคุณล้นเกล้าด้วยความวางใจก็เพราะมีแม่ศรีเรือนคอยดูแลทางนี้ ฉันไม่รู้จะขอบใจสไบทองอย่างไร"
"ได้รับใช้คุณพี่นับเป็นบุญของสไบทองแล้ว สไบทองมิต้องการอะไรอีกนอกจากปรนนิบัติคุณพี่"
คุณพระยื่นสองมือเกาะกุมเรียวนิ้วละมุนนุ่ม "แม่มิ่งขวัญเรือนของฉันเอย ช่วงนี้ราชกิจล้นกำลังนักไม่อาจปลีกตัวได้ดังเก่า รอไว้กิจรับแขกบ้านแขกเมืองแล้วฉันคงมีเวลาอยู่กับสไบทองมากขึ้น"
แม่งามยิ้มก้มหน้าระเรื่อลักยิ้มข้างแก้มแย้มเย้า กล่าวเสียงเครือ "เจ้าค่ะ"
คุณพระบรรจงจุมพิศตรงหน้าผากนางก่อนก้าวลงเรือยนต์ พยักให้นายพุ่มดันเรือออกจากท่า สไบทองทอดตาส่งเรือยนต์เคลื่อนคล้อยจนพ้นคุ้งน้ำ
(มีต่อ)
อย่างที่ท่านสิญจน์ว่านั่นแหละ เครื่องแรงตั้งแต่ต้นปีเจียวนะทั่น ไม่ได้โผล่หัวมาวันเดียว งานโผล่มายังกะดอกเห็ด เข้ามาเมื่อบ่ายไม่ทันได้ดู
ตอบลบคันฉ่องฯ ตอนสองกะสามยังไม่ได้อ่านเลย ตกลงเขียนมาลงทุกวันวันละจึ๋งใช่ไหม ดีเลย เห็นท่านไฟแรง ข้าเจ้าก็พอมีแรงฮึดขึ้นมาบ้าง เอาเป็นว่าคืนนี้จะไม่นอน ไม่ใช่กลัวผีนะ แต่เค้าจะเขียนนิยาย เหอะๆ เห็นพระอาทิตย์เมื่อไหร่ค่อยมุดมุ้งเมื่อนั้น
ถึงเวลาหามื้อเที่ยงกับมื้อเย็นหม่ำแล้วเจ้าค่ะ วันนี้แม่ครัวหัวเห็ดจะทำไข่เจียวหมูสับ(เมนูเดียวที่เลี้ยงชีวิตมาจนทุกวันนี้) มาหม่ำด้วยกันไหม?
ปล.หิ่งห้อยส้วย..สวย แต่สงสัยมันคงม่องเท่งกันหมดแล้วเลยตกลงมาจากฟ้า อย่าลืมฌาปนกิจให้มันด้วยนะเจ้าคะ สงสารมัน
ปล๒.ขอบคุณสำหรับ 'กะพริบ'
เดียวดายกลางแสงนีออน
เขียนเสร็จแล้วเอามาแหมะให้อ่านด้วยนะทั่น
ตอบลบสหายร่วมเรียงเคียงห้องหายหน้าสิบวัน หากท่านไม่ยอมหลับยอมนอนเขียนนิยายสิบคืนรวดคงได้นิยายขนาดสั้นหนึ่งเรื่อง..รออ่าน..รออ่าน..
(แลภาวนาให้สหายขยายเวลาเป็นยี่สิบวัน ท่านก็จะได้นิยายขนาดสั้นสองเรื่อง อิ อิ รออ่าน..รออ่าน..)
เขียนได้วันล่ะจึ๋งนี่แลขะรับ
หลังล้มเหลวกับครึ่งปีกลาย ยามนี้จะเขียนอะไรดีร้ายแค่ไหนไม่สำคัญกับข้าพเจ้าเท่าเขียนเรื่องเดียวทุกวัน วันละหน้าก็ยังดี ข้าพเจ้าจะโพสท์ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ล่ะ(คงติดนิสัยตั้งแต่ฝึกเขียนเรื่องแรกที่บอร์ดหนอน โพสท์เสร็จรู้สึกเหมือนเสร็จงาน)
ช่วงเบรคแวะจิบน้ำร้อนน้ำชาขนำข้าพเจ้าก็ได้นะขะรับ
เดียวดายใต้เงาฝน
ปล.อ่า..หิ่งห้อยข้าพเจ้าพากันบินจีบสาวโคนต้นลำพูน่ะขะรับ
เสียใจด้วยเจ้าค่ะเมื่อคืนตัวอักษรไม่กระดิกสักตัว
ตอบลบนั่งกุมขมับอยู่กว่าชั่วโมงเลยปิดคอมพ์ฯ หันมาหาหนังสืออ่านแทน คุ้ยไปคุ้ยไปเลยรู้ว่ามีหนังสือบานเลยที่ซื้อมาแล้วยังไม่ได้อ่าน แล้วไหนจะเล่มที่ยืมเขามาอีกจำนวนนึงป่านนี้เจ้าของเขาคงลืมไปแล้วมั้งใครยืมไป
นิยายที่จะเขียนนี่ก็นิยายรักหวานหยดสะท้านโลกาที่เคยเอ่ยถึงนั่นแหละทั่น จำได้ไหม? มีอยู่เรื่องเดียว เขียนเรื่องนี้ไม่เสร็จตัดใจไปเขียนเรื่องอื่นไม่ลงหรอก หอบหิ้วกันมาตั้งปีสองปีแล้วนี่ ไม่อยากทิ้งเขาไว้กลางทาง เดี๋ยวเขาน้อยใจ
ถ้าให้วัดความคืบหน้าตอนนี้ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 60% ตั้งใจจะเขียนให้เสร็จภายในเดือนเมษานี้(นานไปไหม?)(อ้อ แล้วก็อย่าหวังว่าจะได้อ่านนะเรื่องนี้ เหอๆๆๆๆ)
โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย
ปล.ร่างกายท่านปกติดีแล้วรึ เห็นช่วงนี้ใช้คอมพ์ทุกวันเลย?
เย็นลมบ่ายสวัสดิ์ขะรับท่านสาย
ตอบลบขอบพระคุณถามถึงมือเจ้ากรรมข้าพเจ้า ยามนี้ยังมีอาการอยู่นิดหน่อยแค่เจ็บแปล้บ ๆ ตอนสัมผัสคีย์ ไม่รุนแรงเหมือนแรกเป็น(ตอนนั้นเจ็บหนักจนจิ้มคีย์ไม่ได้) ถามผู้คนก็ไม่มีมนุษย์มนาไหนเขาเป็นกันตอนนั้นออกอาการวิตกจริตทำเอาไม่เป็นอันคิดอันเขียน
ชีวิตข้าพเจ้าผูกพันอยู่กับแป้นคีย์ต่อเข้าเน็ต
เพราะอาศัยกลางนาไม่มีหนังสือหนังหาให้อ่าน ไม่มีทีวีไม่มีข่าวสารให้ติดตาม ก็อาศัยเปิดเข้าเน็ตนี่แลขะรับ
อีกทั้งข้าพเจ้าไม่ศรัทธาการเขียนหนังสืออยู่คนเดียว เขียนแล้วส่งไปรอคอยกรุณาปราณีจากท่านบรรณาธิการหวังให้งานตนได้เผยแพร่เหมือนข้าวคอยฝน
ข้าพเจ้าเชื่อว่าการเขียนเป็นศิลปะ แต่ส่งลงนิตยสารเป็นเกมส์ เกมส์ที่ต้องชิงไหวชิงพริบรู้เหลี่ยมมุม มีโค้ชมีคู่ซ้อม ปรับแทคติก (ฯลฯ) เป็นคนละส่วนกัน
เมื่อพบการเขียนบนเน็ตที่เราแลกเปลี่ยนความเห็น ช่วยตรวจสอบคำผิด แนะนำกันได้ ข้าพเจ้าเชื่อว่าการเขียนเช่นนี้จึงจะช่วยให้เราพัฒนาทักษะไปได้อย่างต่อเนื่อง เสมือนเราต่างเป็นบรรณาธิการของกันและกัน (น่าจะหมดยุคพึ่งพาบรรณาธิการอาชีพถ่ายเดียวแล้วขะรับเพราะสัดส่วนแยกถ่างห่างกันเหลือเกิน)
ข้าพเจ้าหวังพบกลุ่มคนที่ทัศนะเปิดกว้างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในงานของกันและกันอย่างทุ่มใจ เขียนอย่างสม่ำเสมอเอาจริงเอาจัง
แต่ก็ยากเต็มทีขอรับ ความลงตัวที่ว่า ยากเสียกว่ารอให้เกิดพระจันทร์ยิ้ม ข้อจำกัดบั้นต้นก็คือจะอ่านงานใครเราต้องมีความชอบพอบางอย่างอยู่บ้างไม่ว่าจะแนวคิด ภาษา หรือกลวิธีนำเสนอของท่านผู้นั้น หากไม่ใช่แนวที่เราถนัดใจเสียแล้วฝืนอ่านก็จะยิ่งทรมานตนใช่เหตุ
เยี่ยงนี้การที่จะก่อกลุ่มนักหัดอ่าน-เขียนที่ถนัดแนวทางเดียวกันที่จะร่วมพิเคราะห์วิจารณ์งานกันและกันนั้นเห็นทีไม่เกิดขึ้นโดยง่าย
กระนั้นข้าพเจ้าก็ยังจะพยายาม
คิดเสาะหานักหัดเขียนแนวทางคล้ายคลึง เอาจริงเอาจัง เขียนงานต่อเนื่อง ในสำนักหนอนนั่นแลขะรับ นำงานของพวกท่านมาวิจารณ์(ในที่ทางเฉพาะกลุ่ม) หากท่านเปิดใจยอมรับเห็นค่าของการกระทำเยี่ยงนี้ สืบเนื่องช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์ต่อ ๆ กัน สังคมเล็ก ๆ ที่หวังก็อาจเกิดขึ้น
ดูง่าย ๆ ก็อย่างคำ 'ข้า' ที่ท่านกรุณาทักท้วงไงขะรับ
เหมือนนักมวยประจัญคู่ต่อสู้บนผืนผ้าใบ เขาได้แต่ชกไปตามสัญชาตญาณ ส่วนแท็คติกยังต้องอาศัยพี่เลี้ยงคอยแนะนำยกต่อยก หากข้าพเจ้าเขียนอยู่คนเดียว คงมองผ่านข้อบกพร่องนี้ไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
สำเหนียกเสมอที่ท่านกรุณาอ่านแลทักท้วงสอบถามเช่นนี้มีคุณต่อข้าพเจ้านัก ทราบดีว่าหาได้หวังใดตอบแทน แต่ด้วยสำนึกใจข้าพเจ้าหวังตอบแทนด้วยอ่านงานของท่านโดยพิเคราะห์แลแลกเปลี่ยนความเห็นเท่ากำลังคิดพึงมี เพื่อผลแห่งการแก้ไขปรับปรุงทักษะเขียนไปด้วยกัน
นิ้วข้าพเจ้าจึงยังคงวนเวียนจุ้มปุ๊กอยู่กับคีย์บอร์ดแลเน็ต(ทั้งยังปวดแปล๊บ) ยังไม่ละความตั้งใจเดิม จะเขียนลงบล็อกทุกวันและสร้างกลุ่มนักหัดเขียนเล็ก ๆ(ที่เอาจริง) ขึ้นมาให้ได้
อาการปวดเส้นประสาทนิ้วเป็นความผิดปกติร่างกายข้าพเจ้าเอง หลายวันมานี้พยายามแช่น้ำอุ่น เพิ่มอาหารที่มีคุณค่า ออกกำลังกาย งดใช้คอมพ์(ด้วยการออกเดินทาง) เห็นชัดว่าอาการดีขึ้น ก็จะดูแลต่อไป
ข้าพเจ้าใช้คอมพ์เฉพาะตอนพิมพ์ที่เขียนไว้ลงบล็อก จากนั้นแวะดูฟีดบล็อกสหาย, ห้องท่านเจ้าสำนัก, บอร์ดหนอน(ไม่ยอมพิมพ์ อ่านอย่างเดียว)
เพียงตั้งแต่กลับจากหลวงพระบาง สมุดไม่มีเหลือหน้าว่างให้เขียน น้ำยังท่วมออกไปตลาดไม่ได้ จึงจำเขียนด้วยคอมพ์(จนตอนนี้อาการเริ่มกลับมาแย่ลง) เดี๋ยวเย็นนี้จะลองรื้อถังเก็บหนังสือเผื่อมีสมุดเหลืออยู่บ้าง
หากยังไม่เจ็บถึงทนไม่ไหวจริง ๆ ท่านแวะขนำคราใดรับรองเป็นเจอ หากท่านไม่แวะสองวันก็จะเจอสองเอ็นทรี่ สามวันสามเอ็นทรี่ สิบวันสิบเอ็นทรี่ ฯลฯวัน ฯลฯเอ็นทรี่จนท่านคร้านอ่านไปเอง อิ อิ อิ อิ อิ อิ อิ
คารวะ
ปล. หากสองปี ๖๐% อีก ๔๐% น่าจะปีครึ่งนะ ท่านหมายถึงเมษาฯ ปีหน้าใช่ไหม? ใช่ไหม?
ฮึ! หากสองปี ๖๐% อีก ๔๐% น่าจะปีครึ่งนะ หนอย! ดูถูกฝีมือกันเห็นๆ เอาเถอะจะเมษาฯ ปีนี้หรือเมษาฯ ปีไหน ก็ให้มันเสร็จสักเมษาฯ เถอะ ไม่อยากจะบอกเมื่อคืนเขียนได้ตั้งสามหน้าแน่ะ วันไหนฮึดขึ้นมาจะเขียนให้เสร็จภายในสองเดือนเลยคอยดู ชิ!
ตอบลบอ่านคันฉ่องฯ ตอนสองกับสามแล้วเจ้าค่ะ ท่านเขียนแนวตลกคอมมาดี้รึ? ทำไมข้าเจ้านั่งอ่านไปขำไป หวังว่าคงไม่ผิดวัตถุประสงค์ของผู้เขียนนะ
เคยดูละครแนวย้อนยุค เรื่องบ่วงบรรจถรณ์,ทวิภพ,สู่ฝันนิรันดร และเรื่องอะไรอีกบ้างจำไม่แล้ว แต่ไม่เคยได้อ่านเป็นหนังสือสักครั้ง ท่านเขียนเรื่องนี้จบเมื่อไหร่ เดี๋ยวข้าเจ้าจะลองไปหาหนังสือพวกนั้นมาอ่านดู ไม่ได้จะเปรียบเทียบนะเจ้าคะ แต่อยากซึบซับความละเมียดละไม อ่านงานท่านแล้วมันเนิบนุ่ม มันหวิวๆ บางทีก็เผลอคิกคิก
คารแว้บ
เย็นย่ำสนธยาสวัสดิ์ขอรับท่านสาย
ตอบลบฟังว่านวนิยายหวานเจี๊ยบเอี๊ยบอี๋ของท่านรุดหน้าก็ให้ยินดี นิยายหวานแหววมาตรแม้นเขียนกันมากแต่ผู้อ่านก็มากเสียเหลือเกิน มากจนผู้เขียนถึงกับกล่าวกันว่า 'ตลาดต้นฉบับ' ขาดแคลนเขียนไม่ทันคนอ่าน (ปานนั้ลล์)
กระทั่งไปถึงหลวงพระบางยังปะนักอ่านสาวลาวถือนิยายเล่มบางอะไรสวาทสักอย่างนี่แหละเสียดายแบ็ตฯหมดไม่ได้ถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน เช่นนั้นนิยายรักหวานแหววไม่ใช่แค่รองรับตลาดวัยรุ่นไทยเสียแล้ว ยังมีนักเรียนนักศึกษาลาวอีกทั้งประเทศ (ท่านลองคิดดู)
มองแง่การตลาด(แปลว่าปากท้อง)ริเป็นนักเขียนน่าจะเขียนให้ได้ทุกแนว (แบบว่ากันเหนียว) เอาใจตลาดบ้างเอาใจตัวบ้างเอาใจแฟนบ้างเอาใจแม่ยายบ้าง พลาดทางไหนจะได้มีที่ซุกหัวนอน อิ อิ
ดูอย่างท่านเจ้าสำนักประไร
ข้าพเจ้าเดาว่าท่านพบจุดขายโดยบังเอิญนะทั่น แบบว่าเขียนบทความหนอนในตะกร้าไปเรื่อย ๆ หวังให้กำลังใจผู้อ่าน แต่แล้วเมื่อรวมเล่มกลับขายได้ขายดี (ไม่แน่นะอาจขายดีกว่างานยาก ๆ ที่ต้องใช้ทั้งพลังทั้งเวลาค้นคว้าเสียเป็นวรรคเป็นเวร) ก็เพราะคนในสังคมทะเลาะเบาะแว้งสับสนค้นหาขาดแคลนกำลังใจกันเสียเหลือเกิน และก็ยังโชคดีที่เรามีท่านเจ้าสำนักนักการตลาดที่ไม่เอาแต่ขาย หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นไม่แน่อาจหันไปผลิตแต่งานแนวกำลังใจเสียนานแล้ว เขียนง่าย ขายคล่อง ไยต้องไปนั่งสาวไยจินตนาการอยู่ในอากาศให้เมื่อยต่อมพิทูทารี่ (แหะ แหะ นี่มันต่อมอะไรอ่า?)
เจ็บใจตนเอง ข้าพเจ้าไม่ถนัดเลยกับแนวชวนฝัน
ละคอนไม่ต้องกล่าวถึงหนังสือจับมาลองพลิกได้ไม่พ้นสองหน้าเป็นต้องวาง เคยพยายามกล่อมตัวเอง 'ลองอ่านเพื่อศึกษาเป็นไร ดูว่าเขาเขียนอะไรกัน' แต่ก็ทนได้ไม่กี่น้ำ เป็นอันล่องจุ๊น
เคยคิดมองหา 'ทวิภพ' มาดูขะรับ ผ่านตาลีลาสำนวนท่านป้าทมยันตีในขวัญเรือน สละสลวยเสียเหลือเกินอยากรู้ว่าในนิยายที่ว่าเลิศเลอนั้นเป็นอย่างไร แต่ห้องสมุดประชาชนที่ข้าพเจ้าฝากเซเลบลั้มไว้หามีไม่เป็นอันจนป่านนี้ก็ยังไม่เคยผ่านตานวนิยายประโลมโลกที่เป็นทั้งหนังทั้งละคอนเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้ารอบเสียที
บางครั้งข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนไม่มีที่อยู่ขอรับ
ชวนฝันก็ไม่ได้ แฟนตาซีก็ไม่เหมือน จะแนวขำก็มักตลกฝืด กำลังภายในก็ชอบเป็นบางอารมณ์ เพื่อชีวิตสะท้อนสังคมก็ไม่เอา(เครียด)
ตกลงไม่รู้จะอยู่ค่ายไหนดี มั่วเรื่อย ๆ มาอย่างนี้สามปีแล้วขะรับ
สำหรับคันฉ่องฯเนี่ยน่าจะเป็นโรมานซ์คอมเมอดี้นะทั่น(ไม่ใช่ตลกคอมเมอดี้) ที่ท่านอ่านไปขำไปน่ะถูกต้องตามวัตถุประสงค์ผู้เขียนเป็นอันเยี่ยมแล้ว (หวังว่าไม่ใช่ตลกความเสร่อของผู้เขียนนะ) (ข้าพเจ้าชอบตลกอย่างชาลี แชปปลิ้น เขาตลกเสียดสีสังคม ตัวเองกลับค่อนไปทางน่ารักน่าสงสาร ไม่เหมือนเจ้ามร.บีน เจ้านี่ถนัดแต่ทำหน้าปัญญาทึบ ชอบเหมือนกัลล์..แต่ไม่ชอบ)
หากเป็นไปได้ ข้าพเจ้าก็หวังจะเผื่อกันเหนียวมีนิยายคล้าย ๆ จะชวนฝันตุนไว้บ้างจับพลัดจับผลูเกิดมีคนสนใจอ่านขึ้นมา แต่คงทำได้ไม่เหมือนเพราะจะอย่างไรข้าพเจ้าก็คงกระโดกกระเดกแข็งทื่อเป็นตอตาลอยู่ดี ไหนเลยจะเขียนได้หวิวไหวนวลนิ่มเยี่ยงอิสตรี
กาลครั้งหนึ่งเกิดจากพยายามแก้ไขจุดอ่อนของตัวเอง ข้าพเจ้าไม่อาจรักษาอารมณ์เรื่องยาว ๆ ได้จึงคิดหาทางเอาเรื่องสั้น ๆ มาต่อกันให้ยาว (นิทานเวตาลเป็นแม่แบบ) ซึ่งปัญหาก็คือทำอย่างไรให้เรื่องเชื่อมต่อสนับสนุนโครงเรื่องใหญ่ ข้าพเจ้าคงต้องขบคิดต่อไป
คงไม่ได้โพสท์สักวันสองวันขอรับ
คิดจะเอาเจ้าซำหม้อไปประกวดชายงามที่จุดประกายอะวอร์ด กำลังคุมให้ยกเวตอยู่ขะรับ
คารวะ
โห..ขอให้โชคดีมีชัยเจ้าค่ะ ผลออกมายังไงอย่าลืมแจ้งข่าวด้วยนะเจ้าคะ หากเจ้าซำหม้อมันมีวาสนาได้ออกมาเดินนวยนาดอวดสายตามนุษย์มนาบนพสุธาผืนนี้ล่ะก็ จะรีบแจ้นไปสอยเจ้าซำหม้อมาอยู่ด้วยกัน แล้วจะอวดกับใครๆ ว่า
ตอบลบ"เนี่ย คนเขียนเรื่องเนี้ยะ คนกันเอง"
แต่ผิวพรรณเจ้านี่ยังกะดำกะด่างอยู่นา กลิ่นโคลนก็ฟุ้งเชีย ยกเวตเสร็จพาเข้าสปาหน่อยก็ดี ^^
เรื่องงานเขียนข้าเจ้าคงเป็นประเภทเอาใจตัวเองซะละมั้ง ตอนแรกเขียนก็คิดแค่เล่นๆ สนุกๆ ข้าเจ้าอ่านนิยายประโลมโลกมาเยอะพอควร แต่ในจำนวนเยอะนี้มีกว่าครึ่งที่อ่านไม่จบด้วยเหตุผลร้อยแปดพันประการ(ทั้งๆที่อ่านไปกว่าครึ่งเล่มแล้ว) แต่ส่วนมากมักจะเข้าข่าย เนื้อหาไม่โดน! พอมันไม่โดนหนักเข้าจะทำไงล่ะทีนี้ เขียนเองสิ ไม่เห็นจะยาก จริงไหม?
นิยายเรื่องแรกจากปลายนิ้วของนักเขียนหน้าละอ่อนหนอนน้อยๆ ตัวหนึ่งจึงอุบัติขึ้น ผู้รับบทนางเอกไม่ใช่ใครที่ไหน ข้าเจ้าเอง! อิ อิ อิ
นะ เราลิขิตชีวิตจริงบางช่วงของเราไม่ได้ งั้นขอไปลิขิตในนิยายของเราก็แล้วกัลล์ เนอะ
พูดถึงนิยายรักหวานแหวว ไม่ใช่แค่กลุ่มวัยรุ่นเท่านั้นหรอกค่ะที่อ่าน กลุ่มคนวัยทำงานไล่ไปถึงคุณป้าวัย 50-60 ยังอ่านกันเลย และไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้นที่อ่านแต่ยังครอบคลุมไปถึงผู้ชายบางส่วนด้วย(จำผู้ชายเสื้อขาวที่นั่งยิ้มกริ่มอยู่บนโซฟาสีแดงได้ไหม รู้สึกเหมือนข้าเจ้าก็บอกนะว่าในมือเขาถือนิยายรักหวานแหววของหนุ่มสาววัยฝัน)
ผู้ชายที่ข้าเจ้าเห็นอ่านนิยายมีตั้งแต่วัยรุ่น ม.ปลาย ยันคนวัยทำงานนั่นแหละ บางคนอ่านอยู่ประจำ บางคนนานๆ อ่านที แต่เชื่อเถิดกลุ่มนี้มีเยอะพอดูเลยล่ะ
การเขียนนิยายนี่มีเสน่ห์นะท่าน จะประเภทไหนก็เถอะ เอาสิ่งที่อยู่ในจินตนาการที่จับต้องไม่ได้คล้ายเป็นเพียงอากาศธาตุ บางทีแจ่มชัดบางครั้งลางเลือน มาปั้นแต่งให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เรากำหนดชีวิตคนๆ หนึ่งให้เป็นแบบนี้แบบนั้น เรากำหนดได้แม้กระทั่งลมหายใจของเขา ให้มันบางเบา หนักหน่วง เราลิขิตให้มีเหตุการณ์นั้นเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในชีวิตของเขาต่อเนื่องไม่ขาดตอน
ข้าเจ้าว่าคนที่เขียนนิยายออกมาได้สักเรื่องนี่เก่งนะ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องนั้นดีไม่ดี สำนวนสละสลวยหรือไม่ แค่เขามีจินตนาการได้เป็นเรื่องเป็นราวต่อเนื่องไม่ขาดตอนนี่ก็ถือว่าเจ๋งแล้ว
นิยายของข้าเจ้าสิยังสะเปะสะปะหาจุดต่อไม่ได้เลย(คล้ายๆ ปัญหาที่ท่านประสบในตัวอย่างเวตาลนั่นแล)
คารวะ
ปล.จะไม่โพสต์กี่วันตามสบายเจ้าค่ะ แต่อาทิตย์นี้อย่าลืมเอางานไปแปะไว้ที่สำนักล่ะ ไม่งั้นละก็... ตูม!!! แล้วจะหาว่าไม่เตือน ครึครึ
ปล2.เซ็งไอ้เบิลล์สองนี่มากเลย ท่านต้องเบิลล์ด้วยป่าว?
ค่ำนี้ไม่มีดาวสวัสดิ์ขอรับท่านสาย
ตอบลบหันมองรอบข้างเห็นแต่ตะคุ่มเงาไม้ ไฟแสงจันทร์เคยสว่างไสวทั่วครั้งกุ้งยังได้ราคายามนี้ชาวนากุ้งพากันล้มหายตายจากทิ้งไว้แต่บ่อร้างขนำว่าง หันทางไหนล้วนมืดมิด มีบ้างก็แสงกะพริบของหนำไกลอยู่ราง ๆ
พิมพ์คำ 'ราง' แล้วให้ชื่นชมท่านนัก
ปะคำ 'เลือนราง' ในข้อความท่านก็อดนิยมชมชื่นไม่ได้ คำนี้ข้าพเจ้าติดใช้ ล.ลิง เป็นนิสัย ทีแรกยังงงว่าไปได้แต่ใดมา หลังค้นพจนานุกรมจนแน่แล้วว่า 'เลือนราง' ต้องเป็น ร.เรือเท่านั้น ข้าพเจ้ายังปะคำ 'เลือนลาง' อยู่ทั่วไปในหนังสือพิมพ์ออกจำหน่าย ไม่เว้นกระทั่งสำนักพิมพ์แนวหน้า
ที่แท้ข้าพเจ้าก็ติดมาจากการเห็นการอ่านนี่เอง
กรณีนี้น่าเป็นปัญหาระดับประเทศที่บรรรณาธิการมืออาชีพปล่อยให้คำผิดพลาดหลุดออกมาจนผู้อ่านคุ้นเคย คิดว่าถูกต้องตามนั้น นักเรียนนักศึกษาอ่านเข้าจะเป็นอย่างไร (ยังมีอีกหลายคำ อย่าง 'หลับไหล' หรือ 'หลับใหล' ข้าพเจ้าพบทั้งสองไหล ที่ถูกแล้วเป็นคำไหนอ่าท่าน?)
เดาว่าประวัติอ่านประวัติเขียนของท่านต้องไม่ธรรมดา (อย่างน้อยเจ๋งกว่าข้าพเจ้าอยู่หลายช่วงตัวล่ะ)
อ่านทวนที่เขียนไว้วันวานอยากแก้ตรงที่บอกว่า 'ริอยากเป็นนักเขียนน่าจะเขียนได้หลายแนวกันเหนียว' (เจ็บใจ Bloger แก้รายละเอียดในค.ห.ไม่ได้มีแต่ลบอย่างเดียว ไม่เหมือน WP) น่าจะแก้เป็น 'ริอยากเลี้ยงปากท้องด้วยตัวหนังสือ' แทนคำ 'นักเขียน' เพราะคำนี้ครอบคลุมกำกวมเหลือเกิน
ฟังคำขยายของท่านก็ยิ่งมั่นใจในข้อสงกาของตนเอง
ดังท่านจะเห็น หากต้องการเลี้ยงปากท้องด้วยงานเขียนจะต้องเขียนแนวประโลมโลก พิมพ์กันไม่หวาดไม่ไหวแรมเดือนแรมปี ขณะแนวสะท้อนสังคมแค่สามพันเล่มขายกี่ปีก็ไม่หมด(ไม่นับรวมพวกโปรโมชั่นรางวัลนะ)
ข้าพเจ้าสงสัยว่าเหตุที่วรรณกรรมแนวสะท้อนสังคมบ้านเราวนเวียนอยู่ในอ่างไม่ไปไหนสักทีก็เพราะเรามีแต่นักเขียนล่วงเวลา เขียนเป็นงานอดิเรก พิมพ์เล่มสองเล่มเลิก สิบปีรวมได้สักเล่ม
ก็เพราะพวกเขาต้องหาเลี้ยงปากท้องด้วยงานอาชีพอื่น งานเขียนจึงถูกจัดความสำคัญรองทั้งหัวใจนั้นเต็มร้อย
เมื่อหมกมุ่นอยู่กับงานอาชีพอื่นเสียแล้วจะเอาใจที่ไหนพัฒนางานเขียน
นักเขียนแนววรรณกรรมสะท้อนสังคมจึงเกิดแล้วหายเกิดแล้วหายไม่สืบเนื่องสร้างงาน
ทางนักเขียนนิยายประโลมโลกกลับเขียนไปจนแก่จนเฒ่า เขียนจนสิ้นชีวิตคาปากกา ผลิตงานต่อเนื่องเรื่องแล้วเรื่องเล่ามีนักอ่านติดตามไม่ขาดหาย
ขณะวงเสวนาวรรณกรรมสะท้อนสังคมยังบ่นกันเรื่องเดิม ๆ เหมือนเมื่อสิบยี่สิบปีที่แล้ว ก็เพราะท่านผู้เคยบ่นหันไปจับงานอื่นเลี้ยงชีพปล่อยให้รุ่นใหม่เข้ามาบ่นต่อ
ในนิยายประโลมโลกมีเรื่องสร้างสรรค์สังคมอยู่มากมาย ทั้งยังทรงคุณค่าไม่ด้อยกว่างานกลุ่มที่จำกัดความตัวเองว่าไม่น้ำเน่า ไม่ว่าจะเป็น 'กว่าจะรู้เดียงสา' 'ทองประกายแสด' 'สุดแต่ใจจะไขว่คว้า' (ข้าพเจ้าไม่เคยอ่านดอก เดาเอาจากผ่านตาละครหลังข่าว)
ข้าพเจ้าคิดคำตอบไว้สำหรับพวกนักเขียนแนวสะท้อนสังคมหากวันใดวันหนึ่งจับพลัดจับผลูเข้าไปนั่งท่ามพวกเขาแล้วเจอะปัญหาวนในอ่าง(ไม่เกี่ยวกะชูวิทย์นะ)อีก
'หากต้องการเขียนหนังสือ เขียนเรื่องที่มีคนอ่านสิ เขียนเรื่องที่ขายได้สิ เขียนประโลมโลกสะท้อนสังคมนั่นไง หากยังจะยืนยันว่างานดีแต่ไม่มีคนอ่านแล้วหันไปทำอาชีพอื่น ไม่เอาเวลาชีวิตมาพัฒนางานเขียนประเทศนี้ก็สูญนักเขียนไปอีกคน ปล่อยให้รุ่นหลังขยับเข้ามาบ่นกันต่อไป..ก็เท่านั้น'
ท่านเห็นว่าไง..ข้าพเจ้าจะโดนไล่ออกจากวงเสวนาไหม?
คารวะ
ป.ล. คิดสอบถามท่านหลายครา ข้าพเจ้าก็ต้องเบิ้ลเหมือนกัลล์ เบื่อมันเต็มทน คิดถึง WP ขึ้นมาตะหงิด ระบบที่นั่นแจ่มแจ๋ว ไม่เคยรำคาญใจ แต่เซ็งที่หน้าตาบล็อกปรับเปลี่ยนตามอารมณ์ไม่ได้ (หน้าตาน่าเบื่อมากกกกกก)
ที่นี่คิดเปลี่ยนอย่างไรก็ได้แล้วแต่ใจต้องการ แต่ระบบโบราณ (แหมะคอหอวันนี้มันโผล่เสียไม่วันพรุ่งก็มะรืน)
ระหว่างความอึดอัดที่จำต้องใช้หน้าตาเดิม ๆ แต่ระบบสุดยอดของ WP กับ ปรับหน้าตาตามใจต้องการแต่ต้องทนรำคาญกับระบบซังกาบ๊วย
ท่านเลือกอะไรอ่าขะรับ?
เดี๋ยวข้าพเจ้าจะลองเปลี่ยนเป็นใช้หน้าคอหอแบบเก่า(ไม่ต่อท้ายบทความ) ดูว่าต้องเบิ้ลเปล่า
สายๆลมหนาวมาเยือนสวัสดิ์เจ้าค่ะ
ตอบลบตื่นเช้าขึ้นมาตอนสายๆ อากาศหนาวมากกกก แทบไม่อยากลุกจากผ้าห่มเลย เหยียบย่างลงบนพื้นห้องน้ำยังไม่ทันเต็มฝ่าเท้าดีขนลุกเกลียวทั้งตัว แข็งใจอาบแค่ท่อนบนตั้งแต่หัวถึงคอเดี๋ยวท่อนล่างค่อยกลับไปอาบต่อเย็นนี้ ฮ่าๆๆๆ (อย่าไปบอกใครเขานา อายเขาตายเลย)
หนำปลายนาของท่านไร้แสงดาวไร้ไฟแสงจันทร์แล้วแสงหิ่งห้อยช่วยไม่ได้รึ บินว่อนกันบานตะไทขนาดนี้? ;)
ปะคำ 'ราง' ที่ท่านชื่นชม ข้าเจ้านั่งคิดตั้งนานแต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเคยกล่าวไปเมื่อไหร่
ยิ่งมาปะ 'เลือนราง'ก็ยิ่งสะดุ้งวาบในใจ ก็มันจำได้นี่นาตอนพิมพ์คุยกับท่านข้าเจ้าใช้คำนี้ซะที่ไหน อย่ากระนั้นเลยเลื่อนเม้าส์ขึ้นไปดูให้แน่ใจดีกว่า
แล้วก็เห็น! มันยืนเชิด เริด หยิ่ง ไม่สนใจหน้าอินหน้าพรหมอยู่ด้านบนนั่น ..ลางเลือน! จะมองกี่ทีๆ ข้าเจ้าก็เห็นว่ามันเป็น 'ลางเลือน' และถึงให้เอาแว่นขยายมาส่องมันก็ต้องเป็น 'ลางเลือน' อยู่ดี
น่ะ บางทีเราอาจหูตาฝ้าฟาง ดึงกล่องเสิร์ชขึ้นมาช่วยหาละกัน เผื่อบางทีมันขี้อาย แอบไปซุกอยู่มุมไหนสักมุม แต่ก็ ม่ายยยมี..!
พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย! ท่านทำเอาข้าเจ้าอยากมุดลงไปอยู่ใต้โต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด
แล้วไหนจะยังมาคาดเดาประวัติการอ่านเขียนอีกเล่า อพิโธ่..โถ..อพิถัง..กะละมังหม้อไห คิดไปได้
จะบอกให้ว่าประวัติการเขียนของข้าเจ้า เริ่มต้นขึ้นเมื่อรู้จักท่านรู้จักสหายในสำนัก และถ้ากำลังสงสัยว่า'แล้วมันนานแค่ไหนล่ะ?'
ก็จะบอกว่า'มกราฯนี้ครบรอบหนึ่งปีพอดี'รู้อย่างนี้แล้วคงไม่คิดนะเจ้าคะว่าประสบการณ์หนึ่งปีจะ'เจ๋ง'กว่าประสบการณ์สามปี
ส่วนประวัติอ่าน ข้าเจ้าเน้นในแนวที่ข้าเจ้าถนัด คิดว่าท่านก็คงเน้นในแนวที่ท่านถนัดเช่นกัน เป็นอันว่าบอกไม่ได้ใครเจ๋งกว่าใคร เพราะเราเจ๋งกันคนละทาง ท่านเจ๋งโดราเอม่อน, อิคคิวซัง, หนูน้อยอาราเร่ ส่วนข้าเจ้าก็เจ๋งประโลมโลกสะเทือนโลกาประมาณพวก ซาตาน,สวาท พวกนี้ :)
ข้าเจ้าไม่เคยคุยเรื่องงานวรรณกรรมกับใครเลยนะเพราะไม่มีใครให้คุยด้วย ดูจากคำตอบที่ท่านเตรียมไว้ใช้ในอนคต ท่านคงไม่โดนไล่ออกจากวงสนทนาหรอกค่ะ แต่คนที่ร่วมสนทนาด้วยจะเดินออกไปเอง ทีละคน..ทีละคน.. พลางพวกเขาก็คิดในใจ "ตูไม่น่าไปคุยกับมันเล้ย.."
คารวะ
ปล.ข้าเจ้ายังมีกิเลส หลงในรูป,รส,กลิ่น,เสียง อยู่มาก ถ้าให้เลือกระหว่างสองระบบนี้ อืมม์.. คงเลือกที่รูปแบบโดนใจ แต่ต้องมีข้อแม้ว่าใช้งานง่าย ไม่สลับซับซ้อนยอกย้อนวุ่นวาย
แต่ความจริงข้าเจ้าก็ไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ ได้รูปแบบไหนถูกใจแล้วก็จะอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ..เรื่อยๆ..เรื่อยๆ..
สรุปก็คือ ตอบไม่ถูกหรอกค่ะ ต้องลองใช้เองดูก่อน ;)
ไม่ต้องใส่โค้ดแล้วหรือ?(เมื่อกี๊มีแอบสะดุ้งด้วย)
ตอบลบจิ้งจกไต่มุ้งสวัสดิ์ขอรับท่านสาย
ตอบลบต้องขอโขกศีรษะประทานโทษสักสามโป๊ก ข้าพเจ้ามัวแต่มึนอยู่กับเจ้าซำหม้อจนหูตาลาย
จำเอาว่าท่านเขียนอักษร 'รางเลือน' 'เลือนราง' จำอย่างนี้จริง ๆ ขอรับมิได้มุสาเลย ยังเขียนไปอย่างเชื่อมั่นไม่ได้เลื่อนเม้าส์ขึ้นไปชายตาดู
เลยปล่อยไก่เสียตัวเบ้อเร่อ
แฮ่..ขออำไพ..ขออำไพ..
ถึงตอนนี้ยังตาลายไม่หาย ไอ้ซำหม้อมันทำเอาข้าพเจ้าอ่วม จะอะไรเสียอีกเล่าขะรับ มันอวบอ้วนจนลดน้ำหนักไม่หวาดไม่ไหว กระนั้นก็ยังเกินอยู่ดี
คืออย่างนี้ขอรับ
ข้าพเจ้าเขียนไปเขียนไป แบบว่าติดนิสัยนิยายสุข-เศร้า-เคล้าน้ำตาจะเอามันทั้งหมดทุกรสนั่นล่ะ ไป ๆ มา ๆ ยาวเป็นลำโขงสิทีนี้
เงื่อนไขบอกว่า ไม่เกิน 8 หน้า A4 อักษร 16
ข้าพเจ้าลองเอาไปแหมะใน Word (เขียนใน Notepad) ปรากฎว่า 15 หน้าขอรับ (แม่จ้าววววว ครึ่ง ๆ เทียวนะนั่น!)
ข้าพเจ้ากลั้นใจตัดก็แล้วทอนก็แล้วลดก็ด้วย มันยากตัดใจท่าน จะให้ตัดที่เขียนไว้ยากเสียกว่าตัดรักหักสวาท ข้าพเจ้าจึงคิดเอาว่า ง่า..อย่ากระนั้นเลย เราก็จัดแบบไม่เว้นบรรทัดสิ (คิดลดจำนวนหน้าโดยไม่ยอมตัดเนื้อหาน่ะขะรับ)
ส่งไปปรึกษาพี่ท่านอานันท์ยังไม่ทราบเป็นอย่างไร..กำลังรอผล
ขอบคุณบทบอกอรวดเร็วทันใจที่สำนัก ช่วยได้มากขอรับ ช่วยได้มาก
วันวาน(ตอนที่พิมพ์เลือนรางมั่ว)ใจข้าพเจ้ากำลังขำ ท่านบอกให้เอาเจ้าซำหม้อไปสปาล้างกลิ่นโคลน ข้าพเจ้ากลับเอามันไปย่ำโคลนเสียเละ
ว่าแต่อ่านแล้ว ท่านว่าซำหม้อมันพอจะมีเค้าเอาไปประกวดชายงามอยู่บ้างไหมขะรับ หากไม่มีข้าพเจ้าจะได้ไม่ต้องส่งเข้าไปให้เป็นที่อับอายชาวพารา
คารวะ
ปล. อืมม์ เป็นว่าใช้ Blogger ไปอย่างนี้ดีแล้วนะขอรับ ข้าพเจ้าจะใช้หน้าตาเดิมไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ติดอารมณ์ก็กล่องคอมเม้นท์นี่แลขะรับ(เน็ตข้าพเจ้าช้ายิ่งแย่ใหญ่)ไม่มีระบบ Akismet เหมือน WP จำเป็นต้องใช้โค้ด ไม่งั้น Spam เข้าไม่เว้นวัน แต่ต้องคอยเบิ้ลทุกที เฮ้อออ..ได้อย่างเสียหลายอย่างนะทั่นนะ (คิดว่าจะใช้วิธีปิดโค้ดจนกว่า Spam รุมเข้าแล้วค่อยใส่โค้ดอีกที..ดีไหม..)
ริ้วสายลมเย็นๆสวัสดิ์เจ้าค่ะ
ตอบลบอีกหนึ่งวันที่อากาศหนาวเย็นตอนเช้า ไม่ใช่หนาวธรรมดานะ แต่หนาวมั่กมั่ก ขี้เกียจอาบน้ำอีกตามเคย แต่ใช่จะเหมือนเมื่อวาน เพื่อนตื่นมานั่งถ่างตาตั้งแต่เจ็ดโมง(อ้อ เขากลับมาแล้ว ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาพปกติ) ใครจะอยากให้คนอื่นมองว่าเราซกมกกันเล่าเนอะ ยังไงก็ต้องรักษาภาพพจน์กันหน่อย กลั้นใจเปิดฝักบัวรดตัวสามวิ เบรก เปิดอีกห้าวิ เดินออกจากห้องน้ำ โดดขึ้นเตียง จบข่าว..!
เรื่องประกงประกวดนี่ข้าเจ้าไม่รู้ว่ามาตรฐานต้องระดับไหน แต่ที่ดูจากหัวข้อของอักขระนาฎกรรมจุดประกายอะวอร์ดครั้งนี้คือ..
'สู่สังคมที่ดีงามและสันติ'
ขอเรียนตามตรง ตามความรู้สึกข้าเจ้าเจ้าซำหม้อเข้าข่ายหัวข้อนี้แล้ว อย่างที่บอกในสำนัก อ่านแล้วมีความสุข ทำให้หัวใจสงบหยุดดิ้นรน ข้าเจ้ารู้สึกอย่างนี้จริงๆ(โดยเนื้อหานะ ส่วนรูปแบบและวิธีการนำเสนอนั้นก็ขึ้นอยู่กับท่านจะขัดเกลา)
เข้าใจว่า'เจ้าซำหม้อ ตอนขนำซำหม้อ'เกิดมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ(ใช่ไหม?) แล้วจะมีเหตุผลอะไรล่ะ ที่จะไปขัดขวางไม่ให้มันได้กระทำตามความตั้งใจให้สมกับที่มีโอกาสได้เกิดมา
หากความงามของเจ้าซำหม้อยังไม่เตะตากรรมการ รอบหน้าค่อยส่งใหม่ รอบหน้าไม่เข้า ก็ส่งไปอีกรอบโน้น หากยังไม่เข้าก็ส่งไปอีก ส่งไปอีก ส่งไปอีก ส่งไปเรื่อยๆ สิบรอบแล้วยังไม่ได้ รอบที่สิบเอ็ดท่านต้องได้ชัวร์!
ใช่ว่าฝีไม้ลายมือเหมาะสมหรอกนะ แต่เป็นเพราะกรรมการเขารำคาญ เลยลงความเห็นกันว่า 'ให้ๆ มันไปเถอะ ปีหน้ามันจะได้ไม่ต้องโผล่หัวมาอีก' ฮา
คารวะ
ปล.ไม่มีความเห็นเกี่ยวกับพวก Spam ไม่ค่อยมีความรู้ทางด้านคอมพ์เท่าไหร่
จันทร์กระจ่างฟ้าสวัสดิ์ขอรับท่านสาย
ตอบลบคืนวันทางติ่งสยามประเทศเริ่มเคลื่อนสู่ช่วงเวลารื่นรมย์แล้ว ฟ้าใสเมฆสวยสายลมเย็นโบยโบกมา (ขอท่านอย่าได้อิจฉา)
ค่ำคืนนี้สรรพสิ่งนิ่งสงัด โคมจันทร์สว่างนวลลอยดวงสงบนิ่งเหมือนมีใครมาแขวนไว้ ไร้ร่องรอยทะมึนเมฆ พรำฝนที่ย้ำเยือนอยู่ร่วมสองเดือนก็เงียบหาย
ข้าพเจ้าจะมีวันเวลาที่ดีนี้ไปอีกสองเดือนครึ่ง
ล่วงกลางเดือนมีนาฯ ไปแล้วจะร้อน(ตับแลบ)ร้อนจนข้าวของเครื่องใช้แทบลุกเป็นไฟ เผลอโดนแดดจะเกิดอาการไหม้พุพองเหมือนน้ำร้อนลวก (ปานนั้ลล์)นั่งเขียนหนังสือพลางมือปาดเหงื่อรินไหลราวก๊อกรั่ว (เรียกได้ว่าอักษรทุกตัวแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแท้จริง)เขียนไม่ค่อยได้ค่อยดีดอกขะรับเมื่อคิดทวนเทียบกับช่วงเวลาต้นปี(แต่ก็มีข้อดีนะ!..ได้ว่ายน้ำอุ่นทุกวัน)
ช่วงนี้จึงเป็นเวลาดีที่สุดของปี คิดก็น่าผูกเปลญวนนอนอ่านหนังสือให้สมสุขใจ
ขอบพระคุณสำหรับ 'เรียนตามตรง'ของท่าน
หากท่านเคยผ่านตา 'ฉันรักเธอ..ฉันเกลียดเธอ..ชีวิต' ของท่าน 'ปราย ท่านจะจำหมีพูห์กับพิกเล็ต
เจ้าสองเกลอเดินเคียงกันไปบนหิมะ เห็นรอยตีนเป็นทาง (ประทานโทษจำเป็นต้องใช้ตีนขอรับ)พูห์ตัวใหญ่ขายาวกว่าเดินนำหน้านิดหน่อย เดินกันไปเงียบ ๆ กระทั่งพิกเล็ตเรียกเบาๆ
พิกเล็ต : พูห์
พูห์ : อือ..ว่าไง?
พิกเล็ต : เปล่า..แค่ให้แน่ใจว่านายยังอยู่
(คำอาจไม่ตรงแต่ประมาณนี้ล่ะขะรับ)
ภาพเดียวกับถ้อยคำโต้ตอบสองสามประโยค
เท่านั้น!
แต่ตราสารที่ประทับลงในใจผู้อ่านคมชัดแน่นหนักราวตราประทับหยกของฮ่องเต้เมืองซ้อง(มิปาน)
'ออฟไมส์แอนด์เมน' ของสไตน์เบ็ค เล่าเรื่องราวของเพื่อนรักคู่หนึ่ง คนหนึ่งตัวใหญ่เต็มด้วยพละกำลังแต่สมองดาวน์ อีกคนตัวเล็กเตี้ยกว่ามนุษย์มนาแต่ฉลาดเป็นกรด ทั้งสองอพยพหนีความลำบากยากแค้นด้วยความฝันจะมีที่ทางทำไร่เล็ก ๆ ของตัวเอง สองคนพูดคุยแลกเปลี่ยนฝันไปตลอดทาง
ทั้งคู่ไปสมัครเป็นคนงานในไร่
เกิดเรื่องราวร้อยแปด คนโตตัวโชคร้ายพลั้งมือด้วยไม่อาจคุมพละกำลังตนฆ่าเมียเจ้าของไร่ตาย ถูกตามล่า
เพราะไม่อยากให้เพื่อนรักถูกฆ่าในสภาพหนีหัวซุกหัวซุน ตรงจุดที่เคยนัดแนะกันไว้หากเกิดเหตุร้ายให้มาที่นี่ เจ้าตัวเล็กชักชวนเจ้าตัวโตพูดคุยถึงดินแดนในความฝัน ขณะเจ้าตัวโตเพลิดเพลินอยู่ในโลกฝันที่สองคนช่วยกันสร้าง เจ้าตัวเล็กก็เลือกฆ่าเพื่อนด้วยมือตัวเอง
สไตน์เบ็คกล่าวไว้..นักเขียนคือผู้ที่บอกโดยมิได้กล่าว
(ไม่มีสักคำในเรื่องที่บอกว่าสองคนรักกันเพียงใด ผูกพันเพียงไร)
การไปให้ถึงตรงนั้นยากนัก บอกลึกเกินไปอาจล้มเหลวทางการสื่อสาร ตื้นเกินไปก็อาจดูเป็นบ้องๆ
ที่ข้าพเจ้าเพียรฝึกก็คือสิ่งนี้
วาดภาพต้นไม้ภูเขาทะเลดวงอาทิตย์หวังบอกว่าอากาศดี
สังคมจะดีงามและสันติได้ สิ่งนี้ต้องเกิดในใจผู้คน ทำอย่างไรจึงจะฉายความรู้สึกสุข สงบ สันติ ลงบนผืนใจผู้อ่านโดยไม่กล่าวถ้อยคำเหล่านี้สักเสี้ยวอักษร
'เรียนตามตรง' ของท่านทำให้ข้าพเจ้าอุ่นใจว่าภาพที่ฉายมีผู้รับแล้ว เหลือแต่ทำอย่างไรจึงทำให้ภาพคมชัด ประทับลงร่องใจแนบแน่นเหมือนระหัสดิจิตอลบนแผ่นดีวีดีฉายกี่ทียังคมชัด
สิ่งนี้คงต้องฝึกฝนต่อไป..และต่อไป..
คารวะ
ดึกสงัดวังเวงวิเวกวิเหวงโหวงสวัสดิ์เจ้าค่ะ
ตอบลบเป็นไงบ้างทั่นดินทุกอย่าง(เจ้าซำหม้อ)เรียบร้อยดีนะ พร้อมส่งหรือยังหรือส่งไปแล้ว? หมดเขตส่งวันไหนนี่?
หนังสือของท่าน'ปราย ข้าเจ้ายังไม่เคยอ่านเลยสักเล่ม ออ รู้สึกเหมือนเคยอ่านเล่มที่ท่าน'ปรายเป็นบรรณาธิการหรือเป็นผู้แปลอะไรสักอย่างนี่แหละ ชื่อเรื่อง 'ร้านชำสำหรับคนอยากตาย' นอกนั้นก็ไม่เคยแตะเลย มีคนรู้จักคนหนึ่งเขาเป็นแควนคลับของท่าน'ปราย มีหนังสือทุกเล่มที่ท่าน'ปรายเขียน เคยเอามาแนะนำให้ข้าเจ้าอ่าน แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่ได้อ่านสักที
ทั้งๆ ที่ก็ตั้งใจว่าจะอ่านสักครั้ง อย่างน้อยก็สักเล่ม
ช่วงนี้ข้าเจ้าเจอปัญหา หน้าจอคอมพ์สั่นๆ เปิดเครื่องนานไม่ได้ เปิดไปสักพักเป็นต้องได้เห็นมันเต้นแร็บโชว์ สแต็บเหลือร้าย เล่นเอาคนมองมึนตึ๊บ! ถามใครเขาก็บอกว่าสงสัยหน้าจอเสื่อม คงจริง นิยายเลยไม่คืบหน้าเลย สงสัยจะเป็นปีครึ่งอย่างท่านว่าแน่งานนี้
หลับฝันดีในราตรีสงบสุขเจ้าค่ะ
ปล.อากาศแบบนั้นไม่อิจฉาหรอก ถ้าฝนตกทั้งวันทั้งคืนสิว่าไปอย่าง อย่างมรสุมที่ทั่นเพิ่งผ่านมานั่นแหละ น่าอิจฉาชะมัด ตั้งสองเดือนเชียว ฟังท่านเล่าทีไรข้าเจ้านั่งตาลุกวาว...วาว...
หนาวจนน้ำมูกไหลสวัสดิ์ขอรับท่านสาย
ตอบลบเพิ่งโม้ท่านไปแหมบๆ ว่าแต่นี้คงฟ้าใสแดดสวย ที่ไหนได้..ข้าพเจ้าโดนหลอกให้ดีใจชั่ววัน กลับมาหนาวลมห่มฝนหม่นฟ้าหยั่งเก่าอีกแย้วววว
เจ้าซำหม้อเสร็จเรียบร้อยกะว่าจะอบสมุนไพรสักสองสามวัน (ตามมีตามเกิดขะรับ เวลาน้อย สิ้นกำหนดวันที่ ๑๕)
กว่าข้าพเจ้าจะจับมันลดน้ำหนักให้พอดีพิกัดเล่นเอาหอบ ทั้งตัดทั้งตอน จนลงพอดีเส้นยาแดงผ่า ๘ (หน้า) เรียกว่าหากแถมสักบรรทัดเป็นเลยเข้าหน้า ๙ (เงื่อนไขกำหนดไม่เกิน ๘ หน้า)
ทุกครั้งที่รับคำแนะนำหลากมุมจากเหล่าสหายทักษะเขียนจะขยับไปข้างหน้า
ครั้งนี้เช่นกัน เกลาเจ้าซำหม้อเสร็จรู้ได้เลย หากข้าพเจ้าเขียนอยู่คนเดียวคงต้องพายเรือวนอยู่ในอ่าง ซ้ำซากอยู่กับบกพร่องเดิมๆ แบบไม่รู้ตัว ซึ่งอันตรายต่อทักษะเขียนนัก
ต่อแต่นี้วอนท่าน
ยามผ่านตาตัวอักษรข้าพเจ้า ตรงไหนแปร่งใจ ที่ใดแปลกตา ขอท่านได้ทักท้วงอย่าปล่อยเลยไป คิดเสียว่าให้ทานอักขระวณิพกซอมซ่อผู้นั่งสีซอข้างทางเปลี่ยวเถิด
คารวะ
ป.ล. ๑ จอคงเสื่อม แก้ไม่ยากขอรับ สุดสัปดาห์ลองไปเดินด้อม ๆ มอง ๆ เจอจอชอบใจก็ซื้อใหม่สักจอ เป็นไง..ไม่ยาก..ไม่ยาก..
ป.ล.๒ ยินดีที่เพื่อนกลับมาแล้ว (คราวนี้คงหลับฝันดี) แต่ระมัดระวังสรรพนามเธอนะขะรับ ไม่ทราบเป็นอย่างไร ทีคำ 'เค้า' เป็นได้ทั้งสองเพศ แต่ 'เขา' มักถูกตีขลุมว่าเป็น 'เพศบุรุษ'
ป.ล.๓ คันฉ่อง -๓- ตกหน้าแรก ฟีดคอมเม้นท์ข้าพเจ้ารึก็อืดอาด กว่าโชว์ในกล่องรอข้ามวันข้ามคืน รบกวนท่านแหมะความที่หน้าใหม่นะขะรับ