1
ค่ำฟ้าสีศอพระศิวะสงบนิ่ง ไร้เงาเมฆลอยเลื่อน มืดมิดสิ้นวาวแสง ด้วยหมู่ดาวระยิบล้วนชะลอมาประดับด้าวแดนดิน ระยับดวงราวร่วงพราว พรายพริบอยู่ในเมืองซึ่งเทวาอารักษ์เสกสร้าง
ไม่ว่ามองทางไหน ในม่านเงาราตรีสงัด ความงามได้ถูกจัดวางไว้อย่างปราณีตบรรจง สถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่ยังคงลมหายใจเรียงรายประดับประดาด้วยนวลแสงละมุนตา
ณ เทวาลัยสถานแห่งนี้ สรรพชีวิตยังคงเคลื่อนไหวเต็มชีวา
หากแต่ไร้สุ้มเสียง ทุกความเคลื่อนไหวเป็นไปโดยสงัดงัน ราวกับว่าข้าพเจ้าเป็นโอปปาติกะหลงเข้ามาในวิมานแมน เพียงยลภาพผู้คนขยับเขยื้อนแต่ไม่อาจยินเสียงใด
ความเงียบได้โอบกอดสถานที่แห่งนี้ไว้ด้วยอ้อมแขนแห่งภวังค์
คล้ายข้าพเจ้ารอนแรมอยู่ในโลกฝัน หลงเข้ามาในเมืองอดีตที่กาลเวลายังไม่เริ่มออกเดินทาง
ยามกรายผ่านใกล้ ยินผู้คนพูดคุยกันด้วยศัพท์สำเนียงสุภาพ แผ่วเบา ใบหน้าแย้มยิ้ม หนทางสัญจรโปร่งโล่ง ย่ำเดินพ้นเพียงนิด สุ้มเสียงได้ยินกลับเพียงรอยเท้าสัมผัสพื้น
ข้าพเจ้าเดินชมเมืองไปเรื่อย ๆ ราวกับว่าจิตวิญญาณของเมืองอันเป็นพลังแห่งความเงียบลึกล้ำได้หลอมรวมในสำนึก นำพาภวังค์สู่ภาวะไร้น้ำหนัก ทุกฝีก้าวเหมือนล่องเลื่อนเยือนสวรรค์บนแดนดิน
และแล้ว จากลึกหลืบของความสงัดเงียบ ข้าพเจ้าสดับคีตสำเนียงอันโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาล่องลอยมา ประดุจแพรวไหมแห่งคีตากาลสะบัดพัดไหวในสายลม เป็นเสียงที่แท้หรืออุปาทาน ไม่อาจแยกแยะ ไฉนในความสงัดของเมืองจึงมีเสียงดนตรีเยี่ยงนี้ เสียงก้องกังวานหวานเศร้า ลอยเร้าให้เร่หา..ข้าพเจ้าก้าวเท้าตามเสียงนั่นไป
จนถึงมุมถนน..
มานพหนุ่มนั่งสีเครื่องสาย คล้ายกำลังกล่อมเมือง ทั่วทั้งอาณาบริเวณหามีสรรพสำเนียงอื่นใด นอกไปจากทิพย์ดนตรีอันบรรเลงอยู่นี้
หากศิวาลัยสถานหลวงพระบางคือเมืองอันทวยเทพนิรมิต ที่สถิตอยู่เบื้องหน้าข้าพเจ้าจะเป็นอื่นไม่ได้ นอกไปจากคนธรรพ์ผู้ทำหน้าที่ประเลงเพลงมนต์แห่งสังคีตศิลป์ ณ พิมานแมนได้จำแลงกายลงมาขับกล่อมทวยเทพผู้ปกปักรักษาภวังคสถานแห่งนี้..
2
ข้าพเจ้าลืมตาตื่น ภาพฝันยังติดตรึงทรงจำราวเพิ่งผ่านเหตุการณ์ชั่วครู่ สำเนียงวิเวกหวานนั่นยังดังแว่ว เหมือนจริงราวได้ยินได้เห็นกับตา
แสงเช้าฟุ้งฟ้าผ่านม่านเข้ามาทักทาย ผ้านวมห่มนอนราคาคืนละสี่ร้อยบาทของเฮือนแคมโขงให้ความอบอุ่นผ่านค่ำคืนยะเยือกมาโดยราบรื่นหลับสบาย
เย็นวันวานก่อนขึ้นจากเรือข้าพเจ้าคิดติดตามสองสาวสแกนฯ ไปหาที่พักเพราะสองคนบอกว่าจะไปหาที่พักราคาถูก พอดีโฮมมีรถตู้ของบริษัทมารับ ชวนไปด้วยกันแล้วค่อยหาที่พักราคาถูกย่านที่แขกของโฮมพัก
ข้าพเจ้าเลือกตามโฮมไป แต่ปรากฏว่าย่านที่แขกของโฮมพักมีแต่เกสต์เฮ้าท์ราคาห้าร้อยบาท ข้าพเจ้าตั้งใจจ่ายไว้เพียงสองร้อย เต็มที่สองร้อยห้าสิบ จึงต้องลาโฮมกระเตงย่ามออกเดินหาที่พัก
แต่ถึงตอนนั้นก็สายเสียแล้ว พวกที่มากับเรือคงกระจัดกระจายหายกันไปหมดแล้ว อีกทั้งข้าพเจ้าไม่รู้เหนือรู้ใต้ ได้แต่เดินดุ่มถามราคาที่พักไปเรื่อย ๆ ลองถามหาแผนที่เมืองเพราะเผลอคิดไปว่าคงเหมือนกรุงเทพฯ ซึ่งมีแผนที่แจกทุกเคาท์เตอร์โรงแรม เป็นความเผลอคิดที่ผิดมหันต์
ข้าพเจ้าเดาดุ่มเดินถาม ยิ่งเดินยิ่งวกวนจนฟ้ามืดค่ำ ทั้งหิวทั้งหมดเรี่ยวแรง
ลองถามฝรั่งท่าทางใจดีปั่นจักรยานมานั่งดื่มเบียร์ร้านริมน้ำ ได้ความว่าที่พักราคาถูกอยู่ถัดจากพิพิธภัณฑ์ให้เดินเลียบแม่น้ำไปเรื่อย ๆ
ข้าพเจ้าหาได้รู้ความ พิพิธภัณฑ์ที่ว่าคืออะไรหน้าตาเป็นอย่างไร ตำแหน่งที่ตั้งอยู่แห่งหนใด ได้แต่เดินตามคำแนะนำไป
มาสิ้นเรี่ยวหมดแรงตรงที่มีสาวน้อยนั่งหน้าบ้าน จึงหันไปถาม
"มีห้องพักว่างมั้ยครับ?"
"มี" เธอตอบ
"เท่าไรครับ?"
"ห้าร้อย"
"สี่ร้อยได้มั้ย?"
เธอวิ่งไปปรึกษาคนที่ฝั่งตรงข้ามชั่วครู่ก็กลับมา
"ได้"
แทบเขกกะโหลกตัวเองหาเรื่องเดินลากขาจนฟ้ามืดค่ำน่าจะร่วมชั่วโมง สุดท้ายก็มาตกลงเอาห้องพักราคาใกล้เคียงกัน
ลงทะเบียนเข้าพัก รับกุญแจ จากนั้นเธอปล่อยข้าพเจ้าเดินขึ้นบันไดหาห้องเอง
อาคารเก่าถูกตกแต่งเสียใหม่ปรับเปลี่ยนเป็นเกสต์เฮ้าท์มาตรฐาน ภายในห้องไม่ว่าผ้าม่าน ผ้าคลุมเตียง โคมไฟไม่ต่างโรงแรมชั้นดีที่ยังคงรักษากลิ่นอายอดีต ข้าพเจ้าใช้เวลาโอบกอดสายน้ำอุ่นจนสมใจ อุ่นไอกระตุ้นแข้งขาพลอยคืนแรง จากนั้นเร่งออกข้างนอกหามื้อค่ำ
สอบถามทางไปตลาดมืดจากน้องผู้หญิงแล้วขอนามบัตรไว้กันหลงทาง
เดินเลาะริมน้ำเลี้ยวขึ้นเนินไปตามถนนชั่วครู่ก็เห็นแสงนวลตาเต็มถนน
ที่แท้คำ 'ตลาดมืด' คงหมายถึงตลาดกลางคืน ข้าพเจ้าหลงคิดว่าเป็นตลาดมืด ๆ ไม่มีแสงไฟ ใช้แต่แสงเทียนแสงตะเกียง (คงไม่ต่างกับตอนได้ยินคำ 'ข้าวเปียก' แล้วคิดว่าเป็นข้าวต้ม)
ออกจะผิดหวังนิดหน่อย คิดไปว่าหากเป็นตลาดมืดไม่มีแสงไฟคงโรแมนติกดี
สินค้าวางขายโดยมากเป็นของที่ระลึก เสื้อผ้า โดยเฉพาะผ้าปักของชาวเขามีไม่น้อย แต่ราคาแพงกว่าจตุจักร ที่ไม่ต่างก็คือต้องต่อราคากันหน้ามืดตามัว ซึ่งไม่เหมาะกับนิสัยข้าพเจ้าด้วยประการทั้งปวง
ขณะเดินสายตาก็เสาะหาแผงขายอาหารแบบบ้าน ๆ หวังพออิ่มท้องเบากระเป๋า เดินไปท้องก็ร้องจ๊อก ๆ ไป
จนเห็นสาวน้อยนุ่งซิ่นมีผ้าลายสวยคลุมไหล่เดินสวนมา ข้าพเจ้าร้องทักด้วยความลิงโลด
"โฮม"
"พี่..กินข้าวยัง?" โฮมยิ้มรื่น
"เดินหาอยู่นี่แหละ หิวจะตายแล้ว โฮมกินยัง?"
"ยัง..มา..เดี๋ยวพาไป"
"เอาถูก ๆ ธรรมดาที่ชาวบ้านเขากินกันนา" ยังเข็ดกับห้องพักถูก ๆ ของโฮมไม่หาย
"เออนา..ตามมา"
โฮมนำเดินลัดเลาะผู้คนไปตามถนนซึ่งกลายเป็นตลาดมืด ผ่านร้านรถเข็นเห็นฝรั่งกำลังตักอาหารเต็มจานพูน
"ร้านบุฟเฟ่" โฮมบอก "เราไปอีกที่ ปลาย่างอร่อย ถูกด้วย"
เดินอีกพักก็ถึงซอยแสงไฟสว่าง ด้านซ้ายมีโต๊ะไม้เก้าอี้ยาว ด้านขวาเป็นแผงอาหารสารพัด ต่อกันไปตลอดซอย ตรงกลางเป็นช่องทางเดิน โฮมเดินนำ
"พี่จะกินอะไร" หันกลับมาถาม
"อะไรก็ได้โฮมเลือกมาเลย"
ส่งเงินให้โฮมซื้ออาหาร จัดแจงเลื่อนจานใช้แล้วบนโต๊ะพอได้ที่ทาง ขยับนั่ง คนฝั่งตรงข้ามโต๊ะยิ้มมองมา เห็นจานปลากินไปแค่ครึ่งตัวก็เกรงว่าอาจเป็นของเพื่อนเขา
"ไม่ทราบที่ตรงนี้ว่างมั้ยครับ?" ข้าพเจ้าถาม
"ครับว่าง" เขาตอบ
"อ้าว! คนไทยหรือครับ?"
"ครับ..คนไทย"
"สวัสดีครับผมชื่อดิน" ฐานพบคนไทยด้วยกันในต่างแดนข้าพเจ้ายกมือไหว้แบบนักมวย "ชื่ออะไรไม่ทราบครับ..ขอโทษ?"
"ชัยครับ"
เป็นอันได้พบเพื่อนคนไทย ชัยทำงานบริษัทเอไอเอส ออกเดินทางคนเดียว เช่าจักรยานปั่นเที่ยวหลวงพระบาง วันนี้ก็ปั่นไปถึงน้ำตก คิดว่าสบาย ๆ แต่หนทางขึ้นเขาเล่นเอาแทบแย่ บังเอิญพบกลุ่มสาวลาวที่ไปเที่ยวน้ำตกชวนขึ้นรถกระบะ ขากลับเลยสบาย
โฮมได้ปลาย่าง น้ำพริกอ่อง ต้มผักอะไรสักอย่างและที่ข้าพเจ้าไม่รู้จักอีกสองอย่าง
พอดีชัยกินเสร็จลุกขึ้นล่ำลา
"ไปก่อนครับ" ชัยบอก
"ยังอยู่อีกหลายวันมั้ยครับ?" ข้าพเจ้าถาม
"อีกวันสองวันแล้วจะไปวังเวียงครับ"
"งั้นคงเจอกันอีกแถว ๆ นี้ล่ะครับ" ข้าพเจ้าส่งมือ "โชคดีครับ" ชัยยิ้มกระชับมือ
ข้าพเจ้ามองส่งตามหลังร่างสูงใหญ่ น้ำหนักน่าจะราวแปดสิบกิโลฯ สวมเสื้อยืดสีน้ำเงินกางเกงยีนส์ มีเข็มขัดกระเป๋าใบใหญ่ห้อยเยื้องมาด้านหลัง
อัธยาศัยของชัยไม่ธรรมดา เขายิ้มทักทายข้าพเจ้าก่อนโดยข้าพเจ้ายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามีเขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กลับคิดไปว่าเป็นคนลาวนั่งกินอาหาร
ชัยเป็นเพื่อนเดินทางภาษาเดียวกันคนแรกที่ข้าพเจ้าพานพบระหว่างแรมทางในต่างแดน
ข้อสงสัยเกี่ยวเนื่องด้วยภาวะพบพานระหว่างเดินทางย้อนมาไต่ถามหาคำตอบ ความผูกพันระหว่างเดินทางมีธรรมชาติอย่างไร? เมื่อที่สุดแล้วก็ต้องจากกัน ใช่หรือไม่ว่าเป็นข้อห้ามของการเดินทาง ทุกครั้งที่พานพบ ไม่ควรนำมาผูกพัน มิฉะนั้นก็จะพบแต่ความว่างเปล่า สงสัยในความผูกพันนั้นร่ำไป
ข้าพเจ้าไม่มีคำตอบ
โฮมกินอย่างเอร็ดอร่อยมือไม้ระวิง ไม่ต้องมีมารยามรรยาทของสังคมที่น่ารำคาญตา ข้าพเจ้าก็หาได้ต่างกัน
อิ่มแล้วเราออกมาเดินดูสินค้าตลาดมืด ผู้หญิงมักเพลิดเพลินกับการหย่อนใจประเภทนี้แต่สักพักข้าพเจ้าชักเมื่อย
"พี่แยกกลับก่อนนะโฮม..เมื่อยแระ"
"พี่พักที่ไหน?"
"อ่า.." จำชื่อไม่ได้เลยล้วงบัตรให้โฮมดู
"ผ่านที่โฮมพัก ไปทางเดียวกันก็ได้" โฮมบอกพร้อมยื่นนามบัตรคืน
"เรอะ!" ข้าพเจ้างง จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ในเมื่อข้าพเจ้าเดินเสียน่องโป่ง..
"ไป" คิดยังไม่จบความโฮมเดินนำออกไปจากตลาดมืด
จวนพ้นจากหมู่หลังคาเต็นท์ของตลาดมืดข้าพเจ้าก็แว่วยินเสียงนั่น
เพิ่งรู้สึกว่าตลาดช่างเงียบอะไรปานนั้น ผู้คนเดินเบียดสวนกันไปมา แต่หาได้มีเสียงเอะอะตะโกนเรียกลูกค้าต่อรองราคาสินค้าอย่างที่คุ้นเคย ดูเหมือนทุกคนจะพูดจากันแผ่วเบา แผ่วเบาจนทำให้เสียงนั่นดังก้องไปทั้งท้องถนน
ข้าพเจ้าหยุดยืน เพ่งมองอย่างพินิจ
แต่โฮมไม่สนใจเดินนำลิ่วจนข้าพเจ้าต้องเร่งเท้าตาม พ้นถนนสายหลักออกจากตลาดมืดโฮมเลี้ยวซ้ายตรงแยกแรกแล้วเดินลงเนิน
"ตรงลงไปพอถึงแม่น้ำแล้วเลี้ยวซ้ายก็ถึงเกสต์เฮ้าท์ที่พี่พัก" โฮมบอกก่อนแยกไปดูแลคอลลินกับภรรยา
ข้าพเจ้าทำตามที่โฮมบอก อยากเขกศีรษะตัวเองเป็นครั้งที่สอง ใกล้กันแค่มุมถนนนี่เอง ข้าพเจ้าหลงทางเดินวนเสียพักใหญ่ที่สุดก็มาพักเกสต์เฮ้าท์ใกล้กับที่แรก และด้วยราคาพอ ๆ กัน
3
ข้าพเจ้าขยับลุก แหวกม่านหวังให้แสงเช้ารอดผ่านมุ่งลวดเข้ามาขับไล่ความเย็น กลับไม่มีแดด เป็นเพียงแสงสว่างฟุ้งในไอเย็นยะเยือก
หลังยืนเย้าสายน้ำอุ่นนานให้สมกับต้องผจญอากาศหนาวเหน็บ ข้าพเจ้าพาตัวเองมาซอกซอนไปในวิถีชีวิตชาวถิ่น เดินดูตลาดสดยามเช้าหวังสัมผัสวิญญาณของเมืองจากผู้อยู่อาศัย
เหมือนตลาดสดทั่วไป มีสินค้าของแห้ง ของสด ของกิน ของใช้ เสื้อผ้า คละเคล้ากัน ที่ต่างจากคุ้นชินก็คือความเงียบ
เป็นอีกครั้งที่ความเงียบส่งเสียงทักทายทั้งแวดล้อมด้วยผู้คน อาจเป็นเพราะข้าพเจ้ามาจากสถานที่ซึ่งตลาดแบกับดินอย่างนี้มักจอแจด้วยสรรพเสียง บ้างร้องเรียกลูกค้า บ้างต่อรองราคา ไม่ก็เป็นเสียงโฆษณาผ่านลำโพง เสียงเอะอะโวยวาย เสียงตะโกนพูดคุย
แต่ตลาดสดหลวงพระบางไม่มีเสียงเหล่านั้น มีแต่เสียงพูดคุยเบา ๆ
ที่แปลกไปจากความคุ้นเคยอีกอย่างเห็นจะเป็นสินค้าประเภทของของป่า โดยเฉพาะจำพวกสัตว์ ถึงกับต้องสะกดใจเมิน เมื่อเห็นนกขนสีสวย, กระรอก อยู่ในสภาพที่หากพวกนักอนุรักษ์มาพบเข้าคงเป็นลม
กฎการเดินทางอีกข้อหนึ่งก็คือ พึงเป็นผู้สังเกตการณ์
ชีพจรข้าพเจ้าเต้นเร็วไม่เป็นส่ำสุดทนดูสภาพสัตว์น่าสงสารเหล่านั้น แต่ก็ยอมรับรู้ว่าเป็นวิถีชีวิตชาวบ้าน อีกทั้งพวกเขาฆ่าเพื่อบริโภค จำนวนสัตว์ป่าที่วางขายบนโต๊ะตัวเล็กเพียงสองสามตัวเหมือนหามาขายแค่พอยังชีพ ไม่ใช่เพื่อทำการค้าแบบนายทุน หรือล่าเพียงเพื่อสนุกสนาน ความสมดุลในระบบนิเวศน์จึงไม่ถูกแตะต้อง
แวะกินเฝอ(ก๋วยเตี๋ยวลาว)(ขอบคุณขอรับสหายพี่สอง)ในตลาดเป็นมื้อเช้า นั่งเก้าอี้ไม้ข้าง ๆ ชาวถิ่น คนข้าง ๆ หยิบอะไรข้าพเจ้าก็หยิบตาม
จากนั้นออกเดินตะลอนไปเรื่อย ๆ
จุดแรกที่แวะคือพิพิธภัณฑ์ สถานที่ซึ่งเคยเป็นวังของเจ้าชีวิต อยู่ห่างจากตลาดเช้าเพียงไม่กี่อึดใจ ถนนหน้าพิพิธภัณฑ์ก็คือตลาดมืดที่มาเมื่อคืนนั่นเอง
ทันทีผ่านประตูเข้าไป พบพวกที่มาในเรือลำเดียวกันกลุ่มใหญ่ ทักทายกันด้วยความสนิทสนม บางคนตอนอยู่บนเรือได้แต่มองหน้าไปมา ยามนี้ชวนพูดคุยยิ้มแย้ม ไต่ถามพักที่ไหน? ที่พักเป็นอย่างไร? ไปไหนมาแล้วบ้าง? จนเหมือนกับมีเรื่องคุยกันไม่รู้จบ
คงเป็นเสน่ห์ของการเดินทางด้วยเรือ เหมือนวิถีชนบทครั้งอดีต ช้า ๆ เรียบ ๆ เรื่อย ๆ ผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยกัน วันเวลาของการเดินทางด้วยเรือจึงหลอมใจผู้คนไว้ด้วยกัน อาจเป็นเพราะเหตุนี้เองจึงมีคำ 'ลงเรือลำเดียวกัน' ซึ่งต่างกันการเดินทางด้วยรถที่ใจทุกคนจดจ่อแต่ปลายทาง
พวกกลุ่มเพื่อนเรือยกขบวนกันเข้าภายในอาคาร ส่วนข้าพเจ้าพอใจเดินวนแต่ภายนอก จากนั้นออกมาฝั่งตรงข้ามเห็นพิพิธภัณฑ์ที่ยังมีชีวิตยืนมือไพล่หลัง มีผ้าทอลายสวยคลุมไหล่ ผมสีดอกเลาถูกรวบตึงไว้ดัานหลัง ใบหน้าเปี่ยมเมตตา ข้าพเจ้าเดินเข้าไปยกมือไหว้ ชวนแกพูดคุย คุณยายพูดและฟังภาษาไทยได้ดีพอ ๆ กับข้าพเจ้าพูดและฟังภาษาลาว การสื่อสารจึงติด ๆ ขัด ๆ กระนั้นก็ยังรับรู้ได้ถึงความรักเทอดทูนเจ้าชีวิต คุณยายบอกว่า 'เจ้าชีวิตไปอยู่ต่างประเทศ'
จากถนนสายหลักไปยังถนนเลียบแม่น้ำเต็มด้วยตรอกซอยเป็นทางเล็ก ๆ ปูอิฐประณีต สองข้างร่มรื่นด้วยพฤกษ์พรรณไม้และบ้านเรือนเก่า เส้นทางเชื่อมต่อวัดแล้ววัดเล่า ทั้งเมืองเต็มด้วยวัดวาอารามที่รูปทรงโบสถ์วิหารคล้าย ๆ กัน เป็นศิลปะแบบเดียวกับล้านนา บางวัดมีวิหารสอนเขียนศิลปะแบบประเพณีแก่นักท่องเที่ยว วัดเล็ก ๆ สงบวิเวกสมเป็นพูทธสีมา ต่างวัดใหญ่ที่มีชื่อเสียงเต็มด้วยนักท่องเที่ยวแออัดจนข้าพเจ้าต้องปลีกตัวออกมา
เปลี่ยนเส้นทางเป็นถนนเลียบลำน้ำ
เดินไปตามถนนพักใหญ่จึงได้รู้ว่าหลวงพระบางเป็นคล้ายปลายแหลมโค้งมนที่สายน้ำวกกลับ เมื่อเดินเลียบลำน้ำเส้นทางจึงอ้อมไกล หากเพียงตัดตรงขึ้นเนินก็จะทะลุอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว เหตุนี้เองค่ำวานข้าพเจ้าจึงย่ำเสียจนอ่อนแรงกลายวนกลับที่เก่าโดยไม่รู้ตัว
ตรงข้ามฝั่งน้ำแตกต่างฝั่งเมืองจนน่าแปลกใจ
ฝั่งเมืองเต็มด้วยอาคารทรงโบราณทั้งที่เก่าแท้และสร้างขึ้นใหม่ แต่เพียงมองข้ามน้ำไป กลับเป็นเขตสวนเต็มด้วยนานาแปลงผักใบเขียวและต้นไม้ต้นหญ้ารกครึ้ม
ฝั่งเมืองมีการก่อสร้างอยู่ทั่วไป อาคารสถาปัตยกรรมโบราณประยุคผุดขึ้นมากมายรองรับการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต
"เปิ้นบังคับให้สร้างแบบเก่า ไม่เกินสองชั้น เนื้อไม้ก็ไม่ให้ทาสีทับ จะต้องปล่อยให้เห็นลายไม้" พี่เจ้าของเกสต์เฮ้าท์ซึ่งลาออกจากราชการมาซื้อที่ทางในหลวงพระบางบอกด้วยสำเนียงสุภาพอ่อนโยน
อาคารไม้ผ่านการก่อสร้างมาได้สักครึ่งทาง มองคล้ายบ้านเจ้าขุนมูลนายยุคปลายรัชกาลที่ ๔ ซึ่งมีอิทธิพลต่างชาติเข้ามาผสมผสาน
โครงไม้อ่อนช้อยภายใต้หลังคากระเบื้องว่าว แค่เห็นโครงสร้างที่เพียงขึ้นโครงคร่าวก็ชวนจินตนาการแล้วว่าสภาพเมื่อเสร็จจะสวยงามเพียงไร
ข้าพเจ้าลาพี่เจ้าของอาคาร เร่งฝีเท้าจากมา เพราะดูเหมือนยิ่งมองจะยิ่งเร้ากิเลสที่มอดไหม้เป็นเถ้าธุลีไปแล้วให้กลับฟูฟุ้งขึ้น
'ช่างเหมือนบ้านเรือนที่เคยใฝ่ฝันอยากพำนักอาศัยนัก'
เมื่อแรกข้าพเจ้าคิดเช่าจักรยาน แต่ครั้นเห็นว่าเขตเมืองเก่าไม่ใหญ่จนเกินเดิน อีกทั้งยังมีซอกเล็กตรอกน้อยลดเลี้ยวขึ้นเนินลงเนิน ข้าพเจ้าจึงเลือกใช้บริการสองเท้าที่พกติดตัวมา เดินลัดเลาะในเขตเมืองแล้วท่องตามถนนเลียบลำน้ำมา จากฟากหนึ่งวนถึงอีกฝั่งของเมืองเวียนบรรจบเฮือนแคมโขงซึ่งเป็นที่พัก
แล้วข้าพเจ้าก็กระทำสิ่งที่น่าเขกกะโหลกตัวเองอีกครั้ง
4
เมื่อวนกลับถึงที่พัก ตั้งใจจะขึ้นไปเอากระดาษ-สี จากนั้นออกไปหาที่นั่งเขียนโปสการ์ดส่งให้มวลมิตร แค่อยากเอนหลังสักครู่พอคลายเมื่อยขบ
ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่นอีกทีล่วงเย็นฟ้าใกล้มืดค่ำ
รีบล้างหน้าล้างตาคว้าย่ามออกมาภายนอก นึกเจ็บใจตัวเอง อุตส่าห์เดินทางมาเสียไกล กลับมาเอาแต่นอนเสียได้
ที่ตั้งใจจะวาดโปสการ์ดจึงกลายคิดย่นเวลาโดยเดินมองหาโปสการ์ดสำเร็จรูป
ไม่น่าเชื่อ!
หากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในสยามประเทศ เราเลือกโปสการ์ดได้จากแทบทุกร้าน ทั้งยังมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งมุมกล้อง มุมมองให้เลือกใช้ตามแต่อัธยาศัย
ข้าพเจ้าพบโปสการ์ดเพียงร้านเดียว อีกทั้งเป็นโปสการ์ดที่ถ่ายอย่างทักษะย้อนยุค ย้อนยุคอย่างไม่น่าเชื่อ! เลือกอยู่นานไม่มีรูปไหนต้องใจ
ข้าพเจ้าเชื่อว่าความสุขจากโปสการ์ดนอกจากสุขที่ได้ส่ง ได้นั่งพูดคุยกับผู้รับปลายทางคล้ายเดินทางมาด้วยกันแล้ว ยังมีความสุขอันเกิดแต่ได้เลือกภาพที่ถูกใจ เมื่อส่งไปยังผู้รับก็เหมือนได้ส่งตัวตนของเราไปในทีเดียว
ครั้นไม่ได้ภาพต้องตา ข้าพเจ้าพานไม่ฝืนใจหยิบมาแม้รูป ตัดใจไปว่า 'เอาไว้กลับถึงขนำแล้วค่อยเขียนรูปส่งภายหลัง'
ข้าพเจ้ามาพบรูปถูกใจก็เมื่อย่ำต๊อกผ่านห้องแถวสองคูหา ตกแต่งเป็นแกลลอรี่แสดงภาพถ่าย
ด้านหน้าเปิดกว้าง บนผนังขาวทั้งสามด้านแขวนรูปในกรอบหลากขนาด ที่ชั้นวางชิดผนังด้านขวาวางกล่องใส่รูปทั้งแบบจตุรัสและแบบมวน กระทั่งกล่องใส่ยังผ่านการออกแบบประณีต
ซ้ายในเป็นเคาน์เตอร์มีสตรีสูงวัยชาวตะวันตกกำลังนั่งจดจ่ออยู่กับโน้ตบุ๊คตรงหน้า เธอเป็นชาวฝรั่งเศษ โชคดีที่ภาษาอังกฤษของเธอดีกว่าภาษาฝรั่งเศษของข้าพเจ้านิดหน่อย การสื่อสารเป็นไปอย่างตะกุกตะกัก พอจับเค้าได้ว่าเธอกับสามีเป็นศิลปินภาพถ่าย สามีเป็นคนล้างอัดทุกรูปเองโดยใช้กรรมวิธีแบบดั้งเดิม
แม้ไม่อาจสื่อสารสะดวกด้วยภาษาพูด แต่แววตาของเธอตอนอธิบายก็ฉายอาบหัวใจผู้ฟังให้รับรู้ถึงความสุขของการได้ทำงานที่รัก มีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมอันเกื้อหนุนจิตวิญญาณตน
หลังขออนุญาตเดินชม ข้าพเจ้าใช้เวลาจมอยู่กับภาพวิถีชีวิตผู้คนพื้นถิ่นผ่านสายตาตะวันตกและมุมมองของผู้บรรลุแล้วซึ่งศิลปะการถ่ายภาพ พินิจในทุกแสงเงา ทุกองค์ประกอบภาพและทุกจังหวะอารมณ์ ความเคลื่อนไหวของเรื่องราวในภาพ
นานจนตะวันลับฟ้า
5
ตอนข้าพเจ้าก้าวเท้าออกจากแกลลอรี่สองคูหา ท้องฟ้าหลวงพระบางกลายมืดโปร่ง เพราะความที่คุ้นเคยกับท้องฟ้ากลางคืนซึ่งถูกแสงไฟสว่างเมืองรุกล้ำ พบว่าท้องฟ้าราตรีของนครกลางป่าเขานี้เป็นความมืดใส ไร้แสงฟุ้งไฟรบกวน ความมืดดำล้ำลึกจึงครอบคลุมลงมาจรดหลังคาอาคารโบราณตรงหน้า
ข้าพเจ้าเดินฝ่าความมืดอย่างไร้จุดหมาย
ค่ำนี้เป็นคืนคริสต์มาสอีฟ เป็นเวลาแห่งการสังสรรค์ดื่มกินของชาวตะวันตก แม้นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้คลาคล่ำด้วยนักท่องเที่ยวจากอีกซีกโลก แต่ดูเหมือนทุกคนจะต้องมนต์เมืองซึ่งพุทธธรรมยังคงแนบแน่นในทุกอิฐหินอาคาร หล่อหลอมเป็นน้ำเนื้อเดียวกับจิตใจผู้อยู่อาศัย ทั้งเมืองจึงห่างไกลอบายมุข
เดินผ่านร้านอาหารกรุ่นกลิ่นอายอดีตกาลซึ่งล้วนเต็มด้วยลูกค้าต่างชาติ ทุกโต๊ะนั่งสนทนากันอย่างเงียบเชียบ
เพียงร้านเดียวที่มีเสียงดนตรีบรรเลงแผ่วเบามาจากด้านใน เป็นดนตรีชุดบุดด้าบาร์ (Buddha Bar) ซึ่งโน้มนำใจสู่สมาธิจิต
พบกลุ่มคุณยายเรอเน่มากันสามคนกำลังยืนดูป้ายเมนูหน้าร้าน ชักชวนข้าพเจ้าให้ร่วมโต๊ะ ข้าพเจ้าจำปฏิเสธด้วยร้านอาหารหรูหราไม่เหมาะกับกระเป๋าตน
อำลาพวกเขาแล้วก้าวเท้าต่อ อาศัยข้าวเหนียวหมูย่างเติมท้องพลางเดินชมหลวงพระบางยามราตรี
แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงนั่น เป็นเสียงที่ก้องกังวานไปทั้งหนทาง คลื่นเสียงที่โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงากับค่ำคืนฟ้าไร้ดาวฟังยิ่งวิเวกวังเวง ข้าพเจ้าตามเสียงนั่นไป
จนถึงมุมถนน
ผู้เฒ่าวณิพกนั่งพับขาแนบพื้น มือขยับคันซออ้อยสร้อย เหมือนเสียงรำพึงรำพันของความเงียบ คล้ายเสียงของนครอันเคยรุ่งเรืองคร่ำครวญหวนไห้ล่องลอยมาจากอดีตกาลไกลโพ้น
เป็นท่วงทำนองที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่กลับคล้ายเคยฟัง ทั้งยังแน่ใจว่าเคยเห็นภาพข้างหน้านี้มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหนเมื่อไร
ไม่ก็บางทีเมื่อสองร้อยปีก่อน ข้าพเจ้าอาจเคยเดินอยู่ในเมืองนี้ ผ่านที่ตรงนี้ ที่ซึ่งผู้เฒ่าเมื่อสองร้อยปีก่อนกำลังนั่งสีซออยู่เดียวดายอย่างนี้
ก้าวเท้าข้ามถนนแลกเบยลาวด้วยเงินบาท กลับมานั่งลงกับพื้นรวบย่ามไว้บนตักตั้งใจฟังทิพย์สังคีตตรงหน้า
เหมือนเสียงของอดีตกาลที่ยังกังวานก้อง หาได้อ่อนโรยแก่เฒ่าไปตามกาลเวลา คล้ายพิสูจน์ว่าความรุ่งเรืองในอดีตยังสามารถดำรงคงอยู่คู่ไปกับโลกศิวิไลภายนอกที่พยายามแทรกเข้ามาฉกฉวยประโยชน์ ขอเพียงจิตใจผู้คนไม่หลงลืมรากเหง้าของตนเอง
ประดุจเสียงซอกำลังบอกกล่าวชาวหลวงพระบางให้มั่นไว้ในวิถีตน ดำรงความงามเฉกเช่นเสียงดนตรีที่ยังคงความไพเราะไม่ว่าเวลาจะผ่านเนิ่นนานเพียงใด เป็นอดีตเมื่อสองสามร้อยปีก่อนหรือปัจจุบันสมัยทิพย์ดนตรียังคงมนต์ขลังไม่เสื่อมคลาย
เสียงซอวิเวกไหวราวไม่มีสิ้นสุดของบทเพลง
ข้าพเจ้าลุกขึ้นหย่อนกระป๋องเปล่าลงถัง หันกลับไปมองเพื่อร่ำลา
ร่างที่นั่งอยู่ตรงนั้นสวมอาภรณ์ระยิบระยับราวประดับด้วยดาราร้อยพันดวง วงหน้าสว่างจ้าเห็นคมคิ้วตวัดหาง ดวงตายังคงพริ้มอยู่ในภวังค์ ทับทิมเม็ดใหญ่ประดับตัวซอสะท้อนประกายวิบวับ
ข้าพเจ้าขยี้ตา
ชายชรายังนั่งอยู่ตรงนั้น ขับกล่อมนครแห่งภวังค์ด้วยบทเพลงไม่รู้จบ
ข้าพเจ้ายิ้มอำลา เรื่อยเท้ากลับที่พักพร้อมหัวใจสุขสงบ
ทักทายร่ำไรอยู่กับสายน้ำอุ่นพักใหญ่ ซุกซ่อนกายจากอากาศหนาวเหน็บในผ้านวมแสนอุ่น เขียนบันทึกแล้วออกเดินทางสู่นครในความฝัน.. ●
IMG_5543IMG_5544 IMG_5545
IMG_5530 IMG_5549
IMG_5552
IMG_5551
IMG_5554
IMG_5555
IMG_5563 IMG_5565
IMG_5559