1
ฟ้าสว่างแล้ว ทิวเมฆขาวหม่นระบายริ้วรอยไปทั่วท้องฟ้า สายแดดเช้าจัดจ้าคลี่แสงแรงสายขับไล่ยะเยือกหนาวของเช้าวันใกล้สิ้นปี ผู้คนบางตานั่งพิงเก้าอี้ชานชาลาอย่างเงียบงัน ข้างกายมีกระเป๋าเดินทางใบย่อม กวาดสายตาไร้คำไขทอดไปยังที่ซึ่งหาได้เจตนามอง 
ความคึกคักจอแจของสถานีขนส่งสายใต้เมื่อฟ้ายังถูกคลุมด้วยม่านสางเลือนหายเหมือนรอยทรายถูกคลื่นซัด ยนต์ยานคันใหญ่ทะยอยนำผู้คเนจรเคลื่อนออกจากสถานีในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน สิ้นเสียงเครื่องยนต์ก็สิ้นผู้คนเคลื่อนไหว 
ข้าพเจ้าปลดย่ามจากไหล่ยอบกายนั่งลงบนเก้าอี้ ย่ามใบเดิมที่แรมทางมาด้วยกันหลายวันคืนยามนี้หนักอึ้งแทบเกินกำลังนำพา เปลือกตากระวนอยากซบหากันอีกสักพัก
มีแต่ผู้รอนแรมไร้รากจึงเห็นรวงรังน้อยเป็นยิ่งวิมานเรืองรอง
ใจข้าพเจ้ายามนี้หาอยู่กับกาย หากแต่ไปรอแล้วที่ขนำซอมซอซึ่งฝากสังขารไว้ชั่วนาตาปี คนึงอ้อมกอดของทุกใบไม้ใบหญ้า ทุกยอดกระถินที่ใช้เด็ดแนมน้ำพริกมื้อเย็น ทุกริ้วคลื่นน้ำในบ่อดิน กระทั่งเสียงนกน้อยร้องปลุกยามเช้า เสียงจิ้งหรีดกรีดปีกเมื่อค่ำคืนเคลื่อนเยือน
กฎข้อสุดท้ายของการเดินทางก็คือ 'กลับบ้าน'
ไม่ว่าระเหระหนจนสุดหล้าฟ้าคราม จะกี่สายน้ำกี่ป่าเขา สุดท้ายยังคงต้องกลับบ้าน ต่อให้กายไม่สามารถกลับ ใจก็ยังทะยานกลับไป ไปยังที่เราจากมา
นั่งลงตรงชานชาลาที่ 62 รอรถเที่ยวสายซึ่งจะนำร่างกายโรยแรงจากการเดินทางข้ามวันข้ามคืนนี้กลับรวงรัง ยังเหลือเวลาอีกพักใหญ่ ข้าพเจ้าล้วงสมุดดินสอออกมาเขียนบันทึกช่วงสุดท้าย..
2
รถตู้ถึงวังเวียงล่วงเย็นย่ำ จุดจอดไม่ได้อยู่ในตลาด ต้องต่อรถรับจ้างอีกช่วง พอดีชัยมาด้วยเลยมีเพื่อนปันค่ารถเข้าตลาด 
ตลาดวังเวียงเหมือนตลาดชนบททั่วไปในไทย เต็มด้วยร้านค้า อาคารพานิชย์ แม่ค้ารถเข็นแผงลอย เรามองหาที่พักริมสายน้ำ ชัยเจอที่ชอบใจเป็นกระต๊อบมุงหญ้าคาสี่ห้าหลังอยู่อีกฟากของลำน้ำ ข้าพเจ้าปล่อยให้ชัยเดินข้ามสะพานไปสอบถาม ส่วนตัวเองหันมองเต็นท์ห้าหกหลังเรียงรายอยู่ทางขวา ไม่ถึงกับริมน้ำ ถัดเข้ามาด้านหลังห้องพักยกเสาสูง แต่ก็ถือเป็นทำเลที่ดีสามารถมองเห็นทิวเขาและสายน้ำเบื้องหน้า
ชัยกลับมาบอกว่าห้องเต็ม เราจึงตกลงใช้เต็นท์ซุกกายสำหรับค่ำคืนในวังเวียง "ไว้พรุ่งนี้จะไปดูอีกทีเผื่อมีคนออก" ชัยบอก
เราใช้เวลาช่วงตะวันจวนลับอยู่กับลำน้ำใสมองเห็นก้อนกรวดท้องธาร สะพานไม้ไผ่ข้ามลำน้ำ และคู่รักสาวหนุ่มชาวไทยที่พบกันกลางสะพาน ฝ่ายชายกำลังจัดมุมกล้อง ส่วนฝ่ายหญิงกำลังท้าวสะเอวแย้มยิ้มเอียงคอ ข้าพเจ้าส่งเสียงไปจากหลังช่างภาพ
"ผมช่วยถ่ายให้มั้ยครับ?"
ฝ่ายชายหันกลับมาเลิกคิ้ว "พอดีเลย" เอามือรวบผมยาวหางม้าแล้วสะบัด "เจอคนไทยคนแรกเข้าแล้ว..ได้เลยครับ ช่วยหน่อย ช่วยหน่อย" ส่งกล้องให้ข้าพเจ้าเสร็จรีบขยับกายโอบเอวหญิงสาว
"เอาคนไว้มุมขวานะครับ ให้เห็นทิวเขาด้านซ้าย" ไม่วายส่งเสียงกำกับ
ข้าพเจ้ากดภาพไปหลายมุมก่อนส่งกล้องคืน
"ขอบคุณครับ" ฝ่ายชายขยับรับกล้อง "มาจากไหนจะไปไหนกับครับพี่?"
"เรามาจากหลวงพระบาง ชัยยังอยู่ที่นี่อีกหลายวัน" ผมบุ้ยไปทางชัย ชัยส่งยิ้ม "ส่วนผมพรุ่งนี้เช้าจะไปเวียงจันทน์ต่อเข้าหนองคาย" ข้าพเจ้าบอก
"พอดีเลย ผมกำลังจะไปหลวงพระบาง เป็นอย่างไรบ้าง?"
"ดีครับดี" ข้าพเจ้าว่า "ดีที่ได้ไปเห็นก่อนอะไรอะไรจะเปลี่ยนไป"
"ใช่เลยพี่ ไปดูซะก่อนอะไรจะเปลี่ยนไป ผมน่ะไปปายมา แม่จ้าว มีแต่คนกับคน มาเห็นที่นี่แล้วยังคิดถึงปายสมัยก่อนไม่หาย" นายผมหางม้าขยับหลบให้คนเดินผ่าน "พี่พักที่ไหนกันครับนี่"
ข้าพเจ้าชี้ไปที่เต้นท์
"โห..ระวังไม่ได้นอนนะครับ ถัดไปโน่นเป็นเร็กเก้บาร์ มันจะโป้งชึ่งกันจนดึกเชียวล่ะ"
ข้าพเจ้าชักใจไม่ดี แต่ทำไงได้จ่ายค่าที่พักไปแล้ว บอกไปว่า
"ไม่เป็นไรครับคืนเดียว พรุ่งนี้ชัยก็จะย้ายมานี่" ข้าพเจ้าชี้ไปที่กระต๊อบหญ้าคาริมฝั่งน้ำ "ไม่ทราบจากเวียงจันทน์มารถอะไรกันครับ?"
"ฮ้า..พอดีเลย จะเล่าให้ฟัง" นายผมม้าบอก "ผมมารถเมล์ พี่อย่าได้ใช้บริการมันเชียว มันจอดตลอดทางเลยพี่ มันจอดเรี่ยราด จอดได้จอดดี ผมนั่งตาปริบสงสัยอยู่ว่าพรุ่งนี้มันจะถึงกันรึเปล่าวะเนี่ย ไม่ใช่จอดรับส่งคนเฉย ๆ นะ ใครคิดจะปวดเยี่ยวทีมันก็จอดที มีนะผู้หญิง..สวยด้วย จอดลงไปเยี่ยวผมก็คิดว่าจะเดินไปไหนไกล แม่คุณก้าวลงจากรถ ป๊าบ ป๊าบ ป๊าบ ผ่านหน้าผม ผมนั่งเก้าอี้แถวหลัง" นายผมยาวเล่าพลางออกท่าออกทาง "ลงจากรถแล้วเดินอีกสองก้าว ถลกผ้าถุงแหมะลงตรงนั้นเลยพี่ ตรงหน้าผมนั่นแหละ โห..อย่าให้เซดทำไปด้าย"
ถึงตอนนี้ข้าพเจ้ากับชัยยืนฟังกันตาปริบ โดยมีหญิงสาวของนายผมยาวยืนอมยิ้มขำลีลาท่าทางของคนข้างเคียง
"ยังมีนะพี่" นายผมยาวที่ตอนนี้ข้าพเจ้าชักสงสัยว่าคงเป็นญาติโน้สอุดมเข้าทุกทีเล่าต่อ "ไปอีกสักพักมันจอดอีก ทีนี้มีคนขึ้นมานั่งข้างผม นั่งไม่นั่งเปล่ามันยกตีนขึ้นมาพาดขา หันฝ่าตีนมาทางผม ไอ้ผมก็พยายามเหลือบมองจะบอกมันว่า เน่เพ่..เพ่..มรรยาทน่ะเมบ้างมะ แต่แล้วนะพี่" คู่แฝดโน้สปั้นสีหน้าประกอบท่าทาง "ไอ้ที่ผมเหลือบเห็น มันเป็นปืนพี่ ปืนยาว ๆ แบบเอ็ม 16 มันเอามาพาดไว้บนตัก ผมล่ะหัวใจจะวาย อยากยกมือท่วมหัวบอกมันว่า เชิญพี่นั่งตามสบายเถอะครับพี่" นายแฝดอุดมยกมือไหว้เสริมบทเจรจา "ไม่ใช่ผมคิดมากนะ พี่ลองคิดดู หากไอ้นั่นมันเกิดประสาทหลอน ไม่ก็อารมณ์บ่จอยขึ้นมา กราดยิงไปทั้งคันรถ ผมจะเหลืออะไร นั่งอยู่ตรงนั้นใกล้ปากกระบอกปืนนิดเดียว"  
ข้าพเจ้ากับชัยพากันยืนยิ้มฟังเดี่ยวไมโครโฟนพักใหญ่ จนนายผมยาวกล่าวลาเกาะแขนแฟนสาวแสนสวย
"จะไปดูอีกสะพานได้ยินว่าสวยกว่าอันนี้ ไปด้วยกันมั้ยพี่" นายผมยาวชักชวน ข้าพเจ้ามองชัย เห็นชัยส่ายหน้า เลยบอกไปว่า
"ไม่ล่ะครับ เชิญตามสบาย" แล้วถามหยอก "โทษครับทำงานกับออกไซด์แปงรึเปล่าครับ?"   
"ไม่ใช่หรอกครับ" แฝดโน้ตหันมาบอก "แต่หากพี่ดูซับองค์บากตอนจบเรื่อง นั่นแหละมีชื่อผมด้วย" นายแฝดโน้ตส่งยิ้มโอบเอวแฟนสาวเดินจากไป
ขอบฟ้าจวนพลบลบแสงเรื่อเรืองลงรำไร สายน้ำใสไหลเอื่อยสงบเย็น
จากกลางสะพานข้ามลำน้ำ มองทิวทัศน์ฟากเนินเขาราวฉากนิยายชวนฝัน แนวป่าเขียวชอุ่มกว้างใหญ่มองไกลจนสุดทิวเขาทอดยาวที่ขอบฟ้า เหมือนได้มาพักผ่อนอยู่ในอ้อมแขนของธรรมชาติอุดม  หันมองอีกฝั่งกลับมีแต่สิ่งก่อสร้างสะเปะสะปะ ล้วนเป็นอาคารเกสต์เฮ้าส์ มีระเบียงหน้าต่างหันออกสู่แม่น้ำหวังให้แขกที่มาพักได้มองเห็นทิวทัศน์สวยงามเบื้องหน้า
อดแปลกใจไม่ได้ บางครั้งข้าพเจ้าก็พบว่าคนเราเลือกมองแต่ความงามตรงหน้า ตำแหน่งที่ยืนจะอัปลักษณ์อย่างไรกลับไม่ยินยอมรับรู้
ยามราตรีของวังเวียงไม่ต่างสถานที่ซึ่งการท่องเที่ยวไร้แผนควบคุมรุกเข้ามาอย่างเกาะต่าง ๆ ของเมืองไทย มีบาร์เหล้าเปิดไฟสลัวอยู่ทั่วไป
ชัยเดินเสาะหาข้อมูลทัวร์คายัค-เที่ยวถ้ำ มองหาร้านที่เพื่อนแนะนำ เราแวะถามทัวร์ทุกร้านในตลาดวังเวียง จนเลือกได้ที่หนึ่งแล้วหามื้อค่ำผลัดพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่เคยเดินทางผ่านมา 
เสร็จมื้อค่ำกลับมาบริเวณที่พัก เป็นอย่างนายแฝดโน้สบอก เสียงกลองเสียงเบสกระหึ่มตึงตัง แต่ข้าพเจ้าก็หลับได้อย่างไม่ยากเย็น
3
ตอนเช้าข้าพเจ้าจองรถไปเวียงจันทน์กับทางเกสต์เฮ้าส์ ยินนายแฝดโน้สเล่าวันวานจึงเลือกรถบัสปรับอากาศวังเวียง-เวียงจันทน์    
จับมือล่ำลามิตรร่วมทางที่สายลมชะตาพัดพามาให้พบกันบนแผ่นดินต่างแดน แล้วขึ้นรถที่ดูสะดวกสะบายติดแต่ช่วงเบาะสั้นจนเข่ายันเก้าอี้ตัวหน้า
ทิวทัศน์เส้นทางวังเวียง-เวียงจันทน์คล้ายหลวงพระบาง-เวียงจันทน์เป็นเนินขึ้นลงไปบนสันเขา จนใกล้เข้าเขตเวียงจันทน์จึงผ่านที่ราบและพื้นที่เกษตรกรรม
รถบัสไม่มีห้องน้ำ ครั้งหนึ่งคงมีคนเกินกลั้น เจ้าหนุ่มฝรั่งเดินมาบอกกับคนขับ ขอจอดให้เพื่อนลงไปฉี่ คนขับพยักหน้ารับในทันทีแล้วเลี้ยวเข้าข้างทางซึ่งเป็นเนินเขา จากนั้นฝรั่งนักท่องเที่ยวเกินครึ่งคันก็กรูกันลงจากรถ พวกผู้ชายแยกย้ายกระจัดกระจายยืนถ่างขามือกุมเป้ากันสลอน ส่วนพวกผู้หญิงลับหายเข้าไปหลังแนวเนิน
ข้าพเจ้ามัวแต่นั่งมองเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าถึงไม่ปวดก็ควรระบายเสียบ้างจึงตามลงจากรถเป็นคนสุดท้าย
เมื่อถึงเวียงจันทน์ข้าพเจ้าเร่งต่อรถไปสะพานมิตรภาพ ผ่านขั้นตอนต.ม.แล้วต่อรถสองแถวจากสะพานฝั่งไทยไปสถานีขนส่งหนองคาย ได้ตั๋วเรียบร้อยตอนเย็นย่ำสนธยา อาหารค่ำมื้อแรกบนแผ่นดินเกิดเป็นปลาหมึกผัดพริกแกงไข่ดาวสุก ๆ ที่คิดถึงแทบขาดใจ ยังไม่พอข้าพเจ้าแถมก๋วยเตี๋ยวเรือหมี่สดตกอีกชาม ยามนั้นคิดไปว่า ไม่ขออยู่ที่ไหนไกลนอกไปจากแผ่นดินที่มีอาหารคุ้นปากอย่างสยามประเทศนี้
รถเคลื่อนออกจากหนองคายตอนสองทุ่ม
4
รถทัวร์หนองคาย-กรุงเทพฯ เข้าเทียบชานชาลาหมอชิต 2 ตอนตี 5 ข้าพเจ้าเร่งต่อรถตู้หมอชิต-สายใต้ใหม่ เพื่อไปให้ทันรถเช้ากรุงเทพฯ-หาดใหญ่
เหมือนรู้ใจผู้โดยสาร รถตู้แล่นตัดจากฝั่งตะวันออกของมหานครที่ยังหลับใหลมายังฝั่งตะวันตกด้วยเวลาไม่นาน ช่วงตีห้าถึงหกโมงสายใต้ใหม่จอแจเต็มด้วยรถและผู้โดยสารทั้งขาเข้าขาออก อีกเป็นช่วงเวลาสิ้นปีที่ผู้คนเดินทางกลับภูมิลำเนา เห็นแต่แถวยาวเหยียดหน้าเคาน์เตอร์ขายตั๋ว
กว่าได้ตั๋วมาอยู่ในมือสภาพข้าพเจ้าไม่ต่างซอมบี้ ขยับย่ามบนบ่าทอดเท้าไปยังชานชาลาที่ 62 รอเวลาออกเดินทาง..ช่วงสุดท้าย
5
ฟ้าสว่างแล้ว ทิวเมฆขาวหม่นระบายริ้วรอยไปทั่วท้องฟ้า สายแดดเช้าจัดจ้าคลี่แสงแรงสายขับไล่ยะเยือกหนาวของเช้าวันใกล้สิ้นปี
ข้าพเจ้านั่งพลิกสมุดนักเรียนเล่มเยิน ย้อนวันเวลารอนแรมราวปักษาไร้รัง ในสมุดเต็มด้วยตัวหนังสือยุ่งเหยิง บันทึกที่ไม่ปะติดปะต่อ เกมโอเอ็กซ์เป็นรอยขีดทั้งสองหน้า  ภาพสเก็ตช์เพื่อนเรือคนโน้นคนนี้ที่ล้วนดูไม่เป็นรูปเป็นร่าง ที่อยู่ของเพินซึ่งข้าพเจ้าบอกว่าจะส่งรูปลูกสาวไปให้ เป็นลายมือของขอ รอยฉีกกระดาษขาดวิ่น หน้าที่หายไปเป็นภาพสเก็ตช์ที่พอดูเป็นรูป ข้าพเจ้าฉีกให้เจ้าของสำหรับเป็นที่ระลึก 
จนถึงรายชื่อผู้คนข้าพเจ้าผ่านพบ
ขอกับจอย (สองพี่น้องชาวเรือ)
โฮม (เพื่อนลาวใจดี)
คอลลินและภรรยา (แขกของโฮม)
จำปา (นักกีฬาวิทยาลัยพละ)
คุณยายเรอเน่ (ข้าราชการเกษียณจากกรมตำรวจแอลเอ)
ลูน่า (สาวสแกนฯนักสเก็ตช์ภาพจากกล้อง)
คริสติน่า (สาวเกาหลีออสซี่ที่ยามพูดคุยแววตายิ้มแย้มไม่เคยละจากใบหน้าคนตรงข้าม)
คุณชาคริต (เจ้าของรีสอร์ตนักเดินทางคนเดียว)
ปู (สาวไทยอีกนักเดินทางคนเดียวผู้ผ่านพบเพียงชั่วขณะ)
แฝดโน้สกับแฟนสาว (ที่นำรอยยิ้มมากำนัลและจากไปทั้งยังไม่รู้จักชื่อ)
และชัย (สหายที่สายลมชะตาบังเอิญพัดพามาร่วมทาง) 
ภาพพวกเขายังแจ่มชัดในความทรงจำ ไม่ต่างดวงดาว เราต่างมีวงโคจรของตัวเอง เพียงบางขณะที่โคจรเข้ามาซ้อนทับ ได้พบปะพูดคุย แต่แล้วก็ต้องย้ายแยกกันไปตามทางตน
เป็นความจริงค่อนข้างแน่ ข้าพเจ้าจะไม่พบพวกเขาอีกเลยตลอดชีวิต
แม่เคยบอกว่าการที่คนมาพบกันเป็นเพราะเคยทำบุญร่วมกันมา ที่อยู่ร่วมนานก็เพราะทำบุญร่วมกันมามาก ส่วนที่พบครั้งเดียวแล้วจากชั่วชีวิตก็เพราะทำบุญร่วมกันแค่ครั้งเดียว
มิวายทุกครั้งเมื่อพานพบความสัมพันธ์ระหว่างเดินทางข้าพเจ้ายังไม่ยอมหยุดตั้งคำถามต่อความผูกพัน ตั้งข้อสงสัยกับธรรมชาติของความผูกพันชนิดนี้ว่าสมควรมีอยู่หรือไม่..เพื่ออะไร?
ก็เพราะยังรั้นที่จะยึดยื้อความรู้สึกผูกพันไว้ ไม่ยอมรับว่าทุกอย่างจบไปแล้วพร้อมการเดินทางสิ้นสุด ไม่ยอมรับคำพูดที่ว่าการผ่านพบเช่นนั้นไม่สมควรผูกพันเพราะมีแต่ทำให้ปวดร้าว
และแล้วข้าพเจ้าก็พบคำตอบให้ตัวเอง คำตอบอยู่ในบันทึกนี่เอง
หลังการเดินทางสิ้นสุด ความผูกพันจะไม่มีวันสุดสิ้น คุณค่าของความผูกพันจะไม่ถูกซุกซ่อนอย่างเงียบงันในความทรงจำรอวันลืมเลือนอีกต่อไป แต่จะแปรเปลี่ยนเป็นบันทึกความทรงจำ เพื่อส่งต่อเรื่องราวไปยังผู้คนอีกมากมาย ให้ได้รับรู้ ไตร่ตรอง ขบคิด เรื่องราวแม้เพียงน้อยนิดอาจมีผลกับชีวิตใครบางคน
นั่นย่อมเป็นคุณค่าแห่งการดำรงคงอยู่ของความผูกพันชนิดนี้
ต่อให้สักวันความทรงจำข้าพเจ้าเลอะเลือน ข้าพเจ้าก็จะไม่มีวันลืมพวกเขา ทุกคนที่ผ่านพบและผูกพัน ไม่มีวันลืมเลือนตราบเท่าที่ตัวอักษรยังคงอยู่ในโลกใบนี้
รถเคลื่อนเข้าเทียบชานชาลาแล้ว ได้เวลาออกเดินทางสู่ที่หมายอันเป็นจุดเริ่มต้น ข้าพเจ้ายัดสมุดบันทึกลงย่าม ก้าวขึ้นรถยื่นตั๋วให้พนักงาน
เหมือนใจได้รับปลดปล่อยจากพันธนาการ บางครั้งแม้เพียงคำถามเล็ก ๆ ในใจ หากไม่ได้รับคำตอบ ยังคงเป็นเหมือนเสี้ยนคอยทิ่มแทงกระตุ้นข้อสงสัยร่ำไป
บางครั้งบางคำถามเกี่ยวกับชีวิตมีแต่ออกเดินทางจึงจะได้คำตอบ
เช่นเดียวกัน..
มีแต่ออกเดินทางจึงรับรู้ว่ากะลาซอมซ่อที่พำนักหลับนอนทุกเมื่อเชื่อวันนั้นน่าอยู่เพียงไร
รถเคลื่อนออกจากชานชาลา ใจข้าพเจ้าหาอยู่กับตัว..หากไปคอยอยู่ที่ขนำน้อยบ้านนาเสียนานแล้ว ●