"ขอแบบเข้ม ๆ นะแปะ" เบี้ยวลากเก้าอี้หย่อนตัวช้า ๆ เหมือนคนเป็นฝีที่ก้นกบ "วันนี้มึนตึ๊บคิดอะไรไม่ออก เขียนงานไม่ได้สักรูป"
"เป็นรายของลื้อวะอาเบี้ยว?" แปะตักน้ำแข็งใส่แก้ว เขย่าถุงกาแฟยกออกจากกระบวยแล้วริน สายน้ำดำคล้ำไหลโจ๊กลงแก้ว เบี้ยวนั่งมองกลืนน้ำลายอึก นึกสงสัยว่าคาแฟอีนแปะคงแอบเข้าไปเกาะผนังหลอดเลือดที่ไหนสักแห่งช่วงแยกเหม่งจ๋ายตัดออกพุทธมณฑลก่อนขึ้นไปเลี้ยงขมอง ไม่ได้เติมทีไรสมองว่างเปล่าเป็นปล่องโรงสีเดินได้ แค่เห็นคล้ำน้ำโชยกลิ่นก็ให้รู้สึกสดใสเนื้อตัวตึงเต้นขึ้นมาฉับพลัน
แปะยื่นมือหยิบหลอด
"ไม่เอาหลอด!" เบี้ยวรีบบอก "บอกกี่ร้อยพันครั้งแล้วฮึแปะ! เห็นมั้ยหลอดของแปะกองอยู่ตรงนั้นทำอะไรก็ไม่ได้" ชี้นิ้วไปที่กองหลอดใช้แล้วข้างอ่างล้างแก้ว "รีไซเคิลก็ไม่ทำ ทิ้งเป็นขยะอย่างเดียว พลาสติกควรเป็นของใช้ซ้ำไม่ใช่ใช้แล้วทิ้ง!"
"เออ ๆ ลื้อบอกอั้วไม่รู้กี่ร้อยพันหนแล้วไม่เบื่อบ้างรึไงวะอาเบี้ยว" แปะกระแทกแก้วลงบนโต๊ะ ลากเก้าอี้เขยิบก้นหา
เบี้ยวคว้าโอเลี้ยงซดรวดหมดแก้ว "อีกแก้ว" เบี้ยวบอก แปะชะงักก้น หยิบแก้วกลับไปที่รถเข็น เบี้ยวนั่งมองตาขวาง
"โอเลี้ยงแปะใส่ยาบ้าเปล่า?"
"พูดหมา ๆ" แปะรินน้ำดำลงแก้ว
"ผมว่ามันแปลก ๆ อยู่นา" ตาเบี้ยวยังขวาง ๆ ตาข้างซ้ายจะไปทางขวา ตาข้างขวากลับชักไปทางซ้าย ตาซ้ายเลยต้องกลับมาตามตาขวา แต่ตาขวาไม่ยอมไป ตาซ้ายไม่พอใจตั้งท่าจะชก ตาขวายกการ์ดรอสวน เบี้ยวต้องรีบลูบหน้าพัลวัน (รวมทั้งขยี้ตาอีกสองสามขยี้) ตาทั้งสองข้างจึงกลับมาลงรอยกันได้ (ยังไม่วายเหลือบเขม่นกันและกันอยู่ในที) "ไม่ได้โอเลี้ยงแปะแล้วสมองมันตื้อ ๆ ตัน ๆ ซดเข้าไปหน่อยเป็นสดใสซาบซ่า ผมว่ามันชักจะยังไงยังไงอยู่นา เห็นจะต้องลองให้สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคมาตรวจสอบ แปะอาจเข้าข่ายผู้จำหน่ายสารเสพติดประเภท ก. แอบเลี่ยงภาษี"
"อั๊วขายของอั๊วมาสิบกว่าปีไม่เห็นลูกค้าคนไหนมีปัญหาเหมือนลื้อ" แปะกระแทกแก้วอีกครั้ง แต่คราวนี้หลังลากเก้าอี้นั่งลงเรียบร้อยแล้ว
เบี้ยวยกแก้วซดพอดีคำ กลั้วน้ำสีสอพระศิวะทั่วปากให้กำซาบคาแฟอีนแทรกซึมทุกต่อมรับรสค่อยกลืนลงคอ
"เป็งงายดีขึ้นมั่งมั้ย?" แปะถาม "คิดอะไรไม่ค่อยออกลื้อยังปากเสียขนาดนี้ หากขมองดี ๆ ชื่อเสียงโอเลี้ยงประจำซอยของอั๊วไม่ป่นปี้รึอาเบี้ยว"
"แหม พูดเล่นน่าแปะ" เบี้ยวบิดคอโยกวนไปมา กระดูกข้อต่อลั่นกร๊อบ ๆ ได้ยินเสียงไอ้จูร้องเรียกแต่ไกล
"อยู่นี่เอง" เลี้ยวจักรยานเข้ามาใช้ฝ่าตีนยันเก้าอี้ "เอาจักรยานมาคืน ไปตามที่บ้านไม่เห็นคิดแล้วเชียวว่าต้องออกมานั่งนี่"
เบี้ยวยกแก้วโอเลี้ยงซดเลิกคิ้วเหลือบมองจักรยานด้วยความฉงน ไอ้จูเหวี่ยงตีนปัดขาตั้งอ้อมมานั่งเก้าอี้ "ขอผมแก้ว" แปะลุกไปที่รถเข็น
"พี่รู้ข่าวยัง ศิวรักษ์ถูกปล่อยตัวแล้ว"
"ศิวรักษ์ไหน?" เบี้ยวไม่รู้แฮะ
"ธ่อเพ่ ข่าวทีวีเล่นออกบ่อยไม่ได้ดูบ้างรึไง?"
"เราไม่มีทีวีมีแต่ตู้เย็นนายก็เห็น ตู้เย็นไม่มีช่วงข่าว ละครหลังข่าว"
"เอ่อ..ก็จริง ได้ยังแปะ เร็วเซ่หิวนะ" หันไปตะคอกแปะ แปะถือแก้วโอเลี้ยงกระแทกลงบนโต๊ะ
"วันนี้มันร้อนนักหรือไงวะ ลื้อสองคนถึงปากเน่าพร้อมกัน"
ไอ้จูไม่โต้ตอบหยิบแก้วโอเลี้ยงขึ้นดูด "อ้าว! ไหนหลอด!?"
"อาเบี้ยวอีไม่ให้ใช้"
ไอ้จูทำปากหมุมหมิบก่อนนาบปากกระดกก้นแก้ว
"ต้องขอบคุณท่านทักษิณที่ช่วยไว้" มันพูดต่อหลังลำเลียงน้ำดำลงลำคอ "รัฐบาลทำอะไรไม่ได้สักคน"
"ตกลงอีผิดจริงหรือเปล่าวะอาจู" แปะเหลือบมองแก้วโอเลี้ยงของเบี้ยวก่อนหย่อนก้นนั่งข้างจู
"ผิดเซ่" ไอ้จูเสียงเฉียว "ศาลเขมรตัดสินไปแล้ว แปะไม่น่าถาม"
"ผิดแล้วทำไมอภัยโทษกันง่าย ๆ" แปะถาม
"บ๊ะ! แปะเนี่ย" ไอ้จูขึง "เรื่องของเขมรเค้า เค้าจะอภัยโทษไม่อภัยโทษใคร รึต้องให้ศิวรักษ์ติดคุกเขมรถึงสมใจ ไม่เป็นลูกแปะบ้างให้รู้ไป!"
"อั๊วว่ามันยังไงยังไงอยู่นา" แปะตั้งข้อสังเกตไม่เดือดร้อนคำค่อนแคะของไอ้จูเพราะมันก็รู้ว่าแปะไม่มีลูก "หยั่งงี้ก็กลายเป็นว่ารัฐบาลไทยส่งสปายเข้าเขมรแต่รัฐบาลเขมรเจ๋งกว่าจับตัวได้น่ะสิ"
"ช่าย" ไอ้จูลากเสียง
"แล้วอีทักษิณมาช่วยไว้" แปะต่อ
"ก็ช่ายอีก" ไอ้จูลากเสียงอีก "ต้องขอบคุณท่านทักษิณ ท่านทักษิณไม่ใช่อีทักษิณ" มันกำชับ "คนของรัฐบาลทำอะไรไม่ได้สักคน"
"ลื้อไม่คิดว่าคนไทยเสียหายในสายตาชาวโลกบ้างเรอะ?"
"โธ่แปะ!" ไอ้จูปั้นสีหน้าเคร่งเครียด "มันเรื่องของรัฐบาลกับรัฐบาล เกี่ยวอะไรกับคนไทย คนไทยที่ไม่อยู่ข้างรัฐบาลมีออกถืดไป ชาวโลกเค้ารู้ดี" ไอ้จูสอดส่ายสายตาสำรวจทั่วตัวแปะ ไม่พอเหลียวไปมองรถเข็นแผงโอเลี้ยงโบราณ
"มองอารายของลื้อ?"
"นั่งไง" ไอ้จูชี้นิ้ว "พบแล้ว หลอดดูดนี่เอง ดีแล้วที่พี่เบี้ยวไม่ให้ใช้ หยุดใช้หลอดสีนี้เด็ดขาดนะแปะ ไม่งั้นล่ะฮึมม์"
"ทำมายลื้อจาทำมาย?"
"ผมก็จะบอกแนวร่วมในซอยไม่ให้ซื้อโอเลี้ยงแปะ ดูไปว่าจะอยู่ได้ซักกี่มื้อ"
"นาจูแปะเค้าไม่ได้เจตนาซักหน่อย" เบี้ยวช่วยแทรก
"พี่ไม่ต้องไกล่เกลี่ย เรื่องนี้เป็นเรื่องระดับประเทศ!"
"ถึงปล่อยมาแต่ความผิดก็ยังติดตัว มันยังไงยังไงอยู่นา" แปะยังไม่ยอมหยุดตั้งข้อสังเกต "ได้ยินว่ามีการจัดฉาก"
"เอ๊ะแปะเนี่ย!" ไอ้จูกระแทกแก้วโอเลี้ยง "มันจะเอามาเล่นจัดฉ่งจัดฉากได้ยังไง ไม่ใช่ซิทคอมเล็ก ๆ จิ๋ว ๆ บางแคร์บางบอนซะหน่อย ชีวิตคนทั้งคนนะ! ไอ้พวกนักข่าวนั่นล่ะตัวดี แหกปากตอแหลประสานเสียงพวกสากกระบือเศษขี้ฑูต ยังมีพวกโพลล์สถุลแมงสาบซ่อนรูปส้นteen เที่ยวชี้นำประชาชน.."
"เดี๋ยว ๆ จู" เบี้ยวสำลักโอเลี้ยง "เราว่านายคงจะอ่านเว็บประชาไทมากเกินไปแล้วมั้ง"
"ไม่ใช่แต่เว็บประชาไทนะพี่เบี้ยว" ไอ้จูหันแจง "เว็บวินทร์ผมก็อ่าน เผื่อมีใครแหยมท่านทักษิณผมจะได้เสียบ"
"หยั่งงี้นายคงงานยุ่งทั้งวัน" เบี้ยวกระแนะกระแหน
"นิดหน่อย" ไอ้จูไม่สน "เพื่อประเทศชาติแล้วก็ต้องเสียสละกันบ้าง ว่าแต่พี่เหอะ"
"หือ" เบี้ยวรีบกลืนโอเลี้ยงกำลังกลั้วปากลงคอ "เราไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะจู"
"คนอื่นเค้าสละแรงกายแรงใจหวังช่วยกันพาประเทศชาติพ้นภัย พี่มานั่งทำตัวเป็นกลาง ลับ ๆ ล่อ ๆ โน่นก็ไม่ดีนี่ก็ไม่เอา พอเศรษฐกิจดีประชาชนอยู่ดีกินดีเหมือนตอนท่านทักษิณเป็นนายกฯ พี่ก็พลอยกินดีอยู่ดี อย่างนี้ไม่แฟร์"
"อ้าวเหรอ" เบี้ยวชักงง "ใครจะเป็นนายกฯ เราก็วาดภาพประกอบหากินของเราไปวัน ๆ นี่นานายก็เห็น"
"ก็นั่นแหละ ตอนเศรษฐกิจดี งานพี่มากขึ้นรายได้พลอยมากตาม เรื่องหยั่งงี้เราต้องช่วยกัน พี่ไม่ใช้หลอดบ้านั่นแสดงว่าอยู่ฝ่ายผมเห็น ๆ แต่ยังไม่ยอมแสดงตัว ไม่ดีนา สังคมต้องการความชัดเจนร่วมกันแสดงพลัง พวกอธรรมจะได้สำนึก" พูดพลางเหลือบหางตามองแปะ
"นายเลยช่วยเปลี่ยนสีจักรยานให้เราเสร็จสรรพ"
"ช่าย" ไอ้จูยืดอกด้วยความภาคภูมิ "สีสเปรย์ยังเหลือ" มันตบแผะที่ย่าม "นี่ก็ว่าจะเลยไปจัดการเมฆสีฟ้าขมุกขมัวหน้าบ้านพี่เสียหน่อย"
เบี้ยวสะดุ้งเฮือกเร่งโบกไม้โบกมือ "อย่า ๆ ๆ เชียวนาจู ปล่อยไว้อย่างนั้นล่ะดีแล้ว จะได้เตือนใจเราอย่าริหากินทางอื่นนอกจากเขียนภาพประกอบ (เรื่องนี้อยู่ในตอน ความรักที่ยิ่งใหญ่) ว่าแต่นายเหอะ วัน ๆ คอยช่วยประเทศชาติให้พ้นภัยทำงานทำการอะไรเป็นเรื่องเป็นราวยัง?"
ไอ้จูฟึดฟัดอีหลักอีเหลื่อไม่รู้ตอบอย่างไร ทะลึ่งพรวดลุกยืน "คุยกับพี่ไม่สนุกแฮะ ผมยังมีงานเพื่อประเทศชาติอีกเยอะ ต้องไปก่อนล่ะ" เหวี่ยงขาถอยออกจากเก้าอี้ "อ้อ..ช่วยจ่ายค่าโอเลี้ยงให้ด้วย" หันไปทางแปะ "มาครั้งหน้าหากยังไม่เปลี่ยนสีหลอดนะแปะ ฮืมม์!" สะบัดก้นเดินจ้ำฉับ ๆ จากไป
เบี้ยวนั่งมองไอ้จูแล้วส่ายหน้าระอิดระอา ใจนึงหมั่นไส้นิสัยเอาจริงเอาจังชั่วคราวของมันจนอยากถีบส่ง แต่อีกทีก็นึกเอ็นดูใจสะอาดของมัน ขลุกอยู่กับอะไรก็รับสิ่งนั้นไว้เต็มหัวใจ ไม่เคยคิดตั้งข้อสงสัยเอามาชั่งวัด เบี้ยวเองในวัยเดียวกับไอ้จูก็ไม่ได้ต่างสักเท่าไร กว่ารู้ตัวว่าความคิดถูกครอบงำ ยืนร้องเพลงชาติที่เนื้อหาแฝงก้าวร้าวมาตั้งแต่จำความได้ ชักนำให้หลงชาติพันธุ์ทั้งที่เอาเข้าจริงสังคมมนุษย์ล้วนประกอบขึ้นจากหลายเผ่าหลากสายพันธุ์ผสมผเสปนเป พึ่งพาอาศัย รบราฆ่าฟันกันมาช้านาน หลงรู้จักเพื่อนบ้านผ่านแบบเรียนวิชาประวัติศาสตร์มอมเมาของประเทศตัวโดยไม่เคยเลยสักครั้งจะรับรู้ว่าแบบเรียนประวัติศาสตร์ข้างฝ่ายประเทศเพื่อนบ้านเขาสอนกันว่าอย่างไร ฝ่ายโน้นมองเราอย่างไร กลับตัดสินผู้คนรอบข้างจากมุมตัวฝ่ายเดียว กว่ารู้ที่จะนิ่งพินิจ รู้ทำความเข้าใจวิธีคิดที่แตกต่าง เบี้ยวก็ต้องผ่านก้าวร้าวทางความคิดมาแล้วไม่รู้กี่หนกี่ครั้ง หวังสักวันไอ้จูมันจะผ่านตรงนี้ไปได้
เบี้ยวนั่งเหม่อตาลอย ตาข้างซ้ายลอยไปข้างขวา ตาข้างขวาจะลอยมาข้างซ้าย แต่ตาข้างซ้ายไม่ยอม ตาข้างขวาฮึดฮัดพยายามจะลอยมาข้างซ้ายให้ได้ ตาข้างซ้ายเลยยกหมัด เบี้ยวรีบคว้าตาทั้งคู่ยัดกลับเข้าเบ้าตาก่อนจะลอยชกกัน ได้ยินเสียงแปะตั้งข้อสังเกต
"มันยังไงยังไงอยู่นาอาเบี้ยว"
"มันยังไงล่ะแปะ?" เบี้ยวถาม
"บ้านอาจูอีอยู่ต้นซอย" แปะบอก "แต่อีไปทางท้ายซอย อั้วว่าอีไปบ้านลื้อนา"
"หา!" เบี้ยวสะดุ้งโหยง รีบล้วงกระเป๋าควานเหรียญโยนบนโต๊ะโดดปั่นจักรยานตามไอ้จูไป ●
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น