ภุมรีสีทอง (นันทนา วีระชน /1988/ไทย) เมื่อเธอไม่ใช่ดอกไม้:
By : Filmsick

หมายเหตุ :มีแต่การเปิดเผยเนื้อหาทั้งหมดของภาพยนตร์เท่านั้นจึงจะทำให้เขียนถึงหนังได้อย่างสาแก่ใจ

เรื่องมีอยู่ว่า สินจัยชื่อ ภุมรี สีทอง เป็นอีสาวบ้านนาพอแตกเนื้อสาวก็เสียตัวให้หนุ่มหล่อประจำหมู่บ้าน อย่างรไก็ดีวันที่นางมาส่งเขาเข้าบางกอก สถาพร นาควิลัยผัวหมายเลขหนึ่งของนางก็วิ่งตัดรางรถไฟมาหาเกิดล้มเลยโดนรถไฟทับดับอนาถ นางดสียใจเดินแร่ดอยู่ในทุ่งที่หมู่บ้าน โดนสามโจรทรชนลากไปข่มขืน แต่อีสามโจรก็ขับรถแหกด่านจนตายหมู่ นางเลยโดนประนามว่าเป็นหญิงกินผัว เลยต้องระเห็จออกจากหมู่บ้านมาบางกอก มาทำงานเป็นเลขาแซมยุรนันท์

อย่างไรก็ดีเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเพราะอภิชาติ หาลำเจียก ที่เป็นเพื่อนของแซม และผัวของอภิรดีกลับมาติดพันนางจนมอมยานางไปโรงแรมม่านรูด นางฟื้นมาเสียใจที่โดนปล้ำเลยวิ่งหนีไป สวนทางกับอภิรดีที่เพื่อนสาวจอมร่านโทรไปบอกเรื่องผัวเพราะแอบเห็นตอนออกจากม่านรูด อภิรดีเลยเอาปืนมายิงอภิชาติดับอนาถคาม่านรูดแล้วกลายเป็นบ้าร้องขอผัวคืนอยู่หลังลูกกรง



ในเวลาต่อมาพี่ชายของอภิรดี (เกรียงไกร อุณหนันท์ ) ก็กลับมาดูแลแม่แล้วปิ๊งกับสินจัยจนขอแต่งงาน แม่ขัดขวางว่าอีนี่กินผัวนะลูกนะ เกรียงไกรก็ไมฟัง เลยซวยไม่ทันไรบินไปภูเก็ตก็เครื่องบินตกตายไปอีกคน นางเลยมั่นใจว่าตัวต้องสาปถึงกับลากลับบ้านนอก แต่เรื่องมันไม่จบแค่นั้นเพราะระหว่างทางนางโดนโจรแหกคุกหนีตำรวจมาจับเป็นตัวประกัน โจรลากตัวนางไปขังในบ้านร้าง นางเลยพิสูจน์คำสาปด้วยการบอกโจรว่า ข่มขืนฉันสิ ข่มขชืนฉันเดี๋ยวนี้ ดังนั้นพี่โจรจึงจัดให้ พอออกมาจากห้องพี่โจรก็โดนตำรวจยิงตาคาตา นางจึงมั่นใจแน่แล้วว่ากูนี้หนากินผัว

ความจริงก็คือนางแอบหลงรักแซม แต่ไม่กล้าบอกกลัวจะกินผัวอีกคน แซมก็รักนางด้วย เลยต้องตามนางไปถึงบ้านนอกที่นางนั่งร้องให้อยุ่ริมสระบัว แซมเข้าไปบอกรัก นางบอกว่าอย่าค่ะ ฉันมันกินผัว แซมเลยบอกว่า งั้นก็แก้ผ้าออกมาสิ แก้ผ้าเลยผมจะไดรู้ว่าผมจะตายใต้คำสาปคุณหรือเปล่า แล้วพี่แซมก็ปล้ำนางอยู่งสระบัว!

กลับไปถึงบ้านพ่อนางแค้นใจที่ลูกสาวโดนปล้ำ คว้าลูกซองมายิงพี่แซมดิ้น !โอ๊ยกูกินผัวจริงๆ

แต่รักแท้ไม่แพ้คำสาป พี่แซมรอดตาย ทั้งคู่จึงอยุ่กินกันอย่างเป็นสุขสืบไป

เอาล่ะ ทำไมเราถึงควรสนใจความเป็นหญิงที่ถูกกดขี่ตลอดเวลาของภุมรี ชีิวตของเธอจะว่าไปนั้นละม้ายคล้ายกับด้านตรงข้ามของอีพริ้ง คนเริงเมือง ผู้หญิงที่มากผัวโดยสมัครใจ ทำได้แม้แย่งผัวชาวบ้าน ระรานคนมีเมีย ไม่ไว้หน้าพ่อลูก ชีวิตอีพร้ิงคือผู้หญิงที่ดูจะก้าวหน้าเรื่องการเป็นเจ้าของร่างกายและหัวใจของตัวเองอย่างไม่รู้่จักหยุดหย่อน จนในที่สุดฏ้ลงเอยด้วยการโดนลงทัณฑ์ให้กลายเป็นบ้า ตามประสาผู้หญิงชั่วร่านรักในขนบหนังไทย

เทียบกันกับภุมรี กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม นอกจากรักแรก ไปๆมาๆเธอคือผู้หญิงที่ถูทารุณทางเพศซ้ำแล้วซ้ำเล่า (อันที่จริงจะนับว่ารักแรกเป็นการยินยอมพร้อมใจก็อาจจะไม่ถูกต้องนักด้วยซ้ำ ก็เพียงเพราะไปติดฝนด้วยกัน) กล่าวให้ชัดกว่านั้น เธอถูกทารุณกรรมทั้งจากการถูกข่มขืนูกมอมยา และที่หนักที่สุดคือถูกสาปให้เป็นผู้หญิงกินผัว

แต่ผู้หญิงดีก้ย่อมเป็นผู้หยิงดีในหนังไทยในที่สุดเธอก็พบกับชีวิตแสนสุข อ้าวแล้วจะมีอะไรสุดท้ายก็เป็นการตอกย้ำคุณค่าแม่พระโสเภณี หญิงดีหญิงเลวตามขนบ

แต่สิ่งที่แตกต่างไปในหนังคู่นี้คือตัวละครมากกว่าสิ่งที่กระทำต่อเธอ พลังของพริ้ง เป็นพลังที่ดูเหมือนเป็นสตรีหัวก้าวหน้า เธอคือคนที่รุดไปหาสิ่งที่ตัวต้องการโดยไม่สนใจในระบบศีลธรรม แต่สิ่งที่กำกับเธอคือความอยากมีผัว ความอยากมีผัวใช่หรือไม่ถึงที่สุดคือรูปแบบสมบูรณ์แบบของอาการชายเป็นใหญ่สุดขั้ว กล่าวคือไม่ต้องบังคบให้มารักก็จะวิ่งโร่มาเอง หากในทางตรงกันข้าม การยืนหยัดพิสูจน์ตัวเองของภุมรี ว่าเธอไม่ได้เป็นหญิงกินผัวนั้นก็ไม่ได้ต่างจากอีพริ้งวิ่งหาผัว การหาผัวและหนีผัวของเธออยู่ใต้กรอบคิดแบบเดียวกันทั้งสิ้น แต่ในเมื่อหนังเลือกตั้งชื่อเธอว่าภูมรี มันก็น่าสนใจไม่าใช่น้อย แ้ภุมรีจะแปลว่าแมลงตัวเมีย แต่ผู้หญิงมักถูกเปรียบเทียบเป็นดอกไม้ และผู้ชายเป็นหมู่ภมร การที่ภุมรีปลี่ยนสถานะจากดอกไม้ที่ภมรมาเด็ดดอมดมสมใจก็หน่ายไปสุ่การเป็นฝ่ายเป็ภุมรีเสพกินผู้ชายเป็นอาหารเสียบ้าง (แม้อาการสีทอง จะเป็นฉาบทาป้ายความร่านลงบนเรือนร่างของเธอก็ตาม)

ฉากที่ทำให้เราได้เห็นพัลงของแม่นางภุมรี พลังของความเป็นหญิงถึงขีดสุด คือฉากที่เธอใช้จิ๋มสู้โจร ด้วยการนำเอาความบาปหยาบช้าของตัวเธอมากอบกู้สถาณการณ์ เธอเป็นฝ่ายคุมเกมโดยการบอกโจรว่า เคยข่มขืนผู้หญิงไหมล่ะ ข่มขืนฉันสิ ข่มขืนฉันเดียวนี้ ! ในที่สุดภายใต้กะลาครอบการตกใจ้อาณัติชายเป็นใหญ่ ภุมรีใช้ความเป็นหญิงของเธอต่อรองสำเร็จอย่างน้อยก็ครั้งหนึ่งในชีวิต!

กล่าวได้ดังนี้ ภุมรีสีทอง จึงเป็นหนังที่พูดถึงกลเกมของหญิงสาวในหนังไทยได้อย่างน่าสนใจยิ่ง แม้จะไม่ไปไกล แต่ก้ไปในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น