ลมพลัดเป็นลมพี่พัดมาจากทิศตะวันตก หอบเอาความชุ่มฉ่ำจากอันดามันกำนัลแด่แนวตะนาวศรีที่ทอดยาวขวางรับกระแสลม เมฆฝนอันลมพลัดพามาจึ่งร่วงโปรยแผ่นดินซีกฝั่งอันดามันเสียมากกว่าจะมาถึงที่ราบอ่าวไทยอันเป็นตำบลข้าพเจ้าพำนัก สำหรับชาวถิ่นลมพลัดจึ่งเป็นลมแล้ง พัดแผ่วเย็นสบาย ยิ่งหากเป็นช่วงยามบ่าย ลมพลัดจะชักชวนไปท่องยังดินแดนแสนไกล ไม่ว่าจะเป็นเปลญวนใต้ร่มเงาไม้หรือในหลาอันคือศาลาหลังย่อมที่ปลูกไว้นั่งเล่นรับลม ล้วนคือประตูมิติเปิดสู่อีกฟากฝั่งของโลกที่แล้วแต่ลมพลัดจะนำพาไป คลื่นลมในทะเลสงบ ท้องทะเลสวยใส ชาวบ้านได้ลอยเรือทิ้งอวนปูอวนปลา เป็นช่วงเวลาทำงานเก็บหอมรอมริบ มีอยู่บ้างบางครั้งกลุ่มเมฆพลัดหลงมาจนถึงย่านนี้ ต้นกระถิน ขามเทศ จึงได้รับน้ำพอประทัง แต่ก็เป็นฝนที่หล่นเพียงชั่วประเดี๋ยวใจพอให้ฉ่ำใบแค่ครู่ ช่วงเวลาเช่นนี้ตามแนวคันดินจึงเห็นแต่กระถินที่ใบเหี่ยวก้านแห้งกรอบแกร็นไปเสียตลอดแนว แต่หากเป็นช่วงเวลาของ 'ลมนอก' ซึ่งเป็นลมที่พัดจากทิศตะวันออก นำความห่วงใยจากท้องทะเลอ่าวไทยมาทักทายท้องไร่ท้องนา ที่ราบแถบถิ่นอันข้าพเจ้าพำนักเป็นแนวแรกรับกระแสลม ทั้งพายุทั้งฝนจึงพลั่งพรูเสียมีดฟ้ามัวดิน หากเป็นช่วงเวลาที่ลมนอกมาอย่างเอาจริงเอาจังฝนจะตกทั้งวันทั้งคืนเปลี่ยนป่าหญ้าป่าตาลให้เป็นป่าฝนไปเสียหลายวัน คลื่นลมในทะเลปั่นป่วนรุนแรง ละอองน้ำเค็มฟุ้งขึ้นตลอดแนวชายฝั่ง ระดับน้ำจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงพื้นที่อาศัยเสียงคลื่นมาโครมครึกอยู่ขอบรั้ว ช่วงเวลาเช่นนี้ชาวบ้านจะเตรียมตัวรับลมด้วยการสร้างซ่อมแนวรั้ว ขัดทางมะพร้าวรัดเรียงเป็นแนวกันกระแสลมและไอน้ำเค็มที่ฟุ้งฟ่อง เรือนชานด้านที่หันออกทะเลถูกปิดสนิท เรือน้อยที่เคยชักพากันออกทะเลหาปูหาปลาถูกลากขึ้นมาเก็บให้พ้นแรงคลื่นที่อาจพัดพาแม้บ้านเรือนติดชายขอบไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ช่วงเวลาเช่นนี้แม้ดูเหมือนเม่ธรรมชาติจะโหดร้ายต่อมนุษย์อยู่ไม่เบา แต่กลับเป็นเวลาสำหรับพันธุ์ไม้ได้แรงเริง..เหล่ากระถินมะขามเทศที่แคระแกร็นได้ยิ้มรื่น แตกช่อต่อกอ ตลอดเนวคันดินเต็มไปด้วยกระถินสาว ๆ วัยกำดัดที่อวบอิ่ม ตึงเต่ง หันไปทางไหนก็ชวนตำน้ำพริกนั่งกินด้วยกันให้อร่อยคอ ช่วงเวลาเช่นนี้ เป็นช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าจะเริ่มออกเดินทาง ออกเดินทางไปบนมรรคาอันข้าพเจ้าพบแล้วว่าเป็นเส้นทางแห่งชีวิตตน หนทางที่อยู่กับดินน้ำฟ้าที่ต่างให้แลรับแลกเปลี่ยนดูแลกันและกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย กินใช้อย่างพอมีพออยู่ เป็นหนทางซึ่งหากมองด้วยสายตาคนเมืองดูเหมือนทุรทาง เต็มด้วยลำบากตรากตรำกว่าจะได้กินแต่ละมื้อต้องหาต้องทำ กว่าจะได้หลับได้นอนต้องปัดต้องเกาเพราะที่รายล้อมล้วนส่ำสัตว์เพื่อนเหย้า แต่ข้าพเจ้ากลับพบความสบายบนหนแห่งทุรทางนั้น เป็นลมหายใจที่สบายเต็มปอด เป็นหัวใจที่นิ่งสงบไกลจากมลภาวะอันนับวันจะบั่นทอนให้อ่อนล้าลงทุกที หนทางนี้นำลมหายใจของข้าพเจ้ามารู้จักกับลมพลัดลมนอกจนมักคุ้น อยู่ร่วมสอดรับอย่างเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่ต้านไม่ฝืน ชีวิตข้าพเจ้าจึงเคลื่นหมุนพร้อมไปกับผืนโลก ผ่านเช้าเที่ยงเย็นค่ำอย่างรู้ร้อนรู้เย็นตามที่เป็นจริง นั่นคือ วิถีเกษตร อันคืนชีวิตสู่แม่ธรรมชาติเสียตั้งแต่ยังมีลมหายใจ ที่หมายสุดท้ายแห่งเราล้วนคือดินน้ำลมไฟ ข้าพเจ้าเพียงเตรียมที่ทางอยู่ร่วมกับจุดหมายในขณะยังรู้ตัวทั่วพร้อม แลพบว่า..นั่นคือวิถีซึ่งร่างกายและจิตวิญญาณได้คืนกลับมาอยู่ร่วมกันอย่างแท้จริง ฝนนี้ต้นไม้ต้นแรกของข้าพเจ้าจะเริ่มออกเดินทาง จะไปได้ไกลเพียงไร? แผนที่เส้นทางเป็นอยางไร? ข้าพเจ้าหาได้นำมาขบคิด รู้เพียงจะค่อย ๆ ก้าวไปทีละก้าว ด้วยตระหนักใจ..ตราบใดที่เราย่ำเดินไปบนหนทางอันมั่นแล้วว่าคือวิถีแห่งตน...เราจะไม่มีวันหลงทาง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น