สมชายเลี้ยวรถพ่วงข้างอันมีข้าพเจ้าเป็นผู้โดยสารเข้าไปลานบ้านตา พวกเป็ดไก่ถลาหนีกันอลหม่าน สมชายลงไปลากรถเข็นคันเล็กออกจากช่องเก็บข้างรถพ่วง จากนั้นเดินไปทักทายตา ข้าพเจ้าสวมรอยยกมือไหว้ทันใด
"สวัสดีดีครับตา" ข้าพเจ้าพูดขอรับไม่ได้กลัวตาจะเผ่นหนี เดี๋ยวไม่เป็นอันได้คุยกัน ตารับไหว้ส่งยิ้มแบบงง ๆ ไอ้หน้าจืดนี่เป็นใครกันละหวา ตาคงคิด "ผมตามสมชายมาดูสวนของตาครับ อยากทำสวนอย่างนี้ล่ะครับแต่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เลยกะว่าจะมาถามตา" ตาพยักหน้างง ๆ (รวมของเก่าเป็นสี่งง) "อยู่แถวไหนล่ะ?" ตาถามมือก็เงื้อง่าพร้าด้ามยาวฟันวัชพืชไป "อยู่ท่าบอนครับตา" "เลี้ยงกุ้งเรอะ?" ตาคงรู้ดีว่าตำบลอันข้าพเจ้าเอ่ยนามนั่นเป็นดงบ่อกุ้ง "เลี้ยงแบบพอมีพอกินน่ะครับตา" บางทีก็ไม่พอขะรับ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้บอกไป "กะว่าจะเก็บน้ำจืดไว้สักบ่อเลี้ยงปลาปลูกต้นไม้อย่างสวนของตานี่ล่ะครับ" ข้าพเจ้ามองสวนแล้วให้ครึ้มใจ เราได้อย่างนี้บ้างก็คงดีสินะ มีต้นมะพร้าวเตี้ย ๆ (แต่ลูกดกชะมัด) ยืนเรียงรายเป็นกองกำลังรอบนอก แนวคันดินเต็มไปด้วยมะละกอ มีร่องน้ำโค้งผ่าน ร่มรื่นเหลือประมาณ ลืมบอกไป..ส่วนนายสมชายซีอีโอส้มตำโคลิมิเต็ดหลังทักทายตา พระคุณก็เข็นรถเข้าดงมะละกอทันที "ผมเก็บเลยนะตา" "เออ..หายไปไหนเสียตั้งนาน" ตาถาม "มีคนเอาไปส่งครับตา ผมเลยไม่ค่อยได้ออกมา" สมชายตอบพลางเดินพลาง "เดี๋ยวนี้สบายครับเป็นเถ้าแก่แล้ว" ข้าพเจ้าเสีอกปากตามปกตินิสัย สมชายหัวเราะกิ๊กกั๊ก คว้าไม้เกี่ยวมะละกอ ข้าพเจ้าลงมือสัมภาษณ์ตา ปรากฏว่าการมาครานี้ให้ผลเกินคาด นอกจากนั่งรถเล่นกินลมชมวิว (อย่างสมชายว่า) แล้วยังได้ถูมิรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ชาวบ้านเขาคงรู้กันเป็นเรื่องพื้น ๆ แต่ข้าพเจ้าหาได้กระดิกแม้สักกระดุก ได้รู้ว่าต้องใช้มะละกอพันธุ์แขกดำจึงจะได้ลูกใหญ่เนื้อเยอะ (มะละกอของตาลูกทั้งใหญ่ทั้งดก) ต้องปักไม้หลักผูกไว้ที่โคนกันโค่นล้มยามต้องลมแรง มะละกอจะตายหากได้น้ำเยอะเกินไป ตาบอกว่าเพาะจากเมล็ดสด ๆ เลย ตาเล่าความสาระพัดสาระพันกระทั่งเป็ดคู่เดียวที่มีอยู่กำลังฟักไข่..ข้าพเจ้าคิดในใจ..เออนะมีเป็ดว่ายน้ำในบ่อคงเพลินดี..ทั้งยังมีไข่สด ๆ ไว้เจียวไว้ดาว..ช้าพเจ้ายิ้มกริ่มจินตะเห็นเจ้าก๊าบน้อยว่ายน้ำเตอะแตะอยู่ในบ่อ..แต่เอ..ถ้าเป็ดของตูข้าทะลึ่งไปรับทานกุ้งบ่ออื่นเข้า ค่าขายไข่ของมันคงไม่พอราคากุ้งที่มันกินเข้าไปเสียเป็นแน่..คิดได้เช่นนั้นเจ้าเป็ดน้อยที่กำลังว่ายน้ำส่งเสียงร้องก๊าบก๊าบเพลินอยู่ในกะโหลกข้าพเจ้าพลันถูกไอ้เข้งับหายไป! ตาสอบถามถึงวงศาคณาญาติข้าพเจ้า แกคงสงสัยบอกเป็นคนถิ่นนี้แต่ทะลึ่งพูดภาษากลาง คนที่นี่โดยมากผิวคล้ำข้าพเจ้าไพล่ไปข้างซองจีฮุน สอบไปสอบมาตายังคงทำหน้างง ๆ (หกงงแล้ว) สมชายได้มะละกอเต็มตะกร้าเข็นรถกลับออกมาจัดแจงหยิบมะละกอวางเรียงตาหันไปคุยกับสมชาย ข้าพเจ้าเหลียวมองโดยรอบความร่มรื่นแผ่คลุมเข้าในกระดองใจ วิญญาณเกษตรกรมือใหม่ลุกโพลง อา..เราก็ต้องทำได้สินา ชีวิตที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ กินอยู่กับพืชผลที่ปลูกเอง มีปลาในร่องน้ำ มีผลไม้บนคันดิน มีผักบริโภคตามแนวรั้ว ผักสวนครัวอยู่ข้างกระท่อม เมื่อเหลือจึงค่อยขายเปลี่ยนเป็นสะตุ้งสะตางค์ไว้รักษาตัวยามป่วยไข้ ชีวิตเช่นนี้สิจึงเป็นชีวิตเต็มชีวิต เป็นชีวิตที่ไช้ความสุขนำทาง ไม่ปล่อยให้เงินมามีอำนาจเหนือจิตใจ คืนหัวใจที่ถูกค่านิยมครอบงำมาเสียนานกลับสู่ผืนดินผืนน้ำ ข้าพเจ้าสูดหายใจลึกนึกฝันถึงอภิมหาโครงการในน้ำมีปลาบนคันนามีผักของตน อืมม์ เราจะลงมะละกอก่อนแล้วค่อยตามด้วยกล้วย..มะพร้าว..พอฝนมาน้ำก็จะเต็มบ่อจากนั้น่คอยหาพันธุ์ปลามาปล่อยบาง ๆ เย็น ๆ แดดร่มลมอ่อนก็คว้าจอบขึ้นแปลงผัก ปลูกพริก ปลูกตะไคร้เสียหน่อย เอาไว้ต้มยำกุ้ง อุ อุ ทันใดนั้นฝันข้าพเจ้าพลันแตกกระเจิง "โลห้าบาท แปดโลสี่สิบบาท" ตาว่า สมชายควักตังค์ส่งให้ตา "หา..โลห้าบาท!?" ข้าพเจ้าตาเหลือก มะละกอเต็มตะกล้าตารับเงินจากสมชายสี่สิบบาททั้งยังออกปากยกมะละกอสุกให้พวกเราโดยไม่คิดตังค์ บอกว่าข้าพเจ้าจะได้เอาเม็ดไปปลูก ขากลับสมชายไปอีกทางบอกว่าจะขี่รถเที่ยว ข้าพเจ้านั่งงง(เป็นงงสุดท้าย) อยู่ข้างหลังสมชาย เอาละวา..มะละกอแปดโลสี่สิบบาท ได้ค่าป๋องเขียวป๋องเดียว ข้าพเจ้ากลืนน้ำลายเอื๊อก! นั่งรำพึง..สี่สิบบาท..สี่สิบบาท..บ้าจริง! ค่าของมันไม่ยอมโผล่ออกมาในจิตสำนึก..เป็นอะไรไปล่ะเนี่ย!? ความวุ่นวายสับสนเวียนวนอยู่ในหัว.. มีคราบสนิมบางอย่างที่ยังเคาะขูดออกไม่หมด ข้าพเจ้าคงต้องตั้งหน้าตั้งตาขูดต่อไป ขูดหัวใจจนกว่าสำนึกที่ใช้ความสุขนำชีวิตจะฉายวาวออกมาโดยไม่มีคราบสนิมเงินตราที่ห่อหุ้มหลงเหลือให้สะดุ้งใจหากหนึ่งวัน..วันหนึ่ง..เกิดมีรายได้สี่สิบบาท เมล็ดมะละกอจากน้ำใจตา นอนรออยู่ในกะละมังเพาะกล้าเป็นที่เรียบร้อย วันใดต้นอ่อนชูใบเลี้ยงออกมาดูโลก ผู้น้อยจะกลับมาโม้สนองพระเดชพระคุณอีกครา
ทดสอบ
ตอบลบ