ย่ำค่ำวันอาทิตย์สวัสดิ์ขอรับท่านต้นข้าว
ทางภูเลยคงหนาวแล้ว ภูเลยังเย็นชื้นด้วยไอฝน พายุลมแรงพัดติดต่อกันจะร่วมเดือน น้ำเจิ่งจนนองทุ่งมองทางไหนเห็นแต่ผืนน้ำสมดังคำในน้ำมีปลาในนาก็มีปลา พวกนกกาดูจะลำบากรวงรังรึก็หามีหลังคาฟากฝากันฝน ยามจะบินออกหาอาหารมาเผื่อลูก ๆ ที่รอนั่นเล่าปีกน้อยก็อ่อนเกินต้านแรงลมเกรงจะพากันอดตายเสียทั้งรังเป็นแท้
แต่เช้ามานี่เมฆฝนผ่อนเบาอยุดกรำสายเสียชั่ววัน มั่นอยู่ว่ายามค่ำคืนคงไม่แคล้วกระหน่ำหลังคาสังกะสียันตีสามตีสี่แผดเสียงโครมครามพร้อมเขย่าขนำเสียไม่เป็นอันหลับตาลงอีกแน่ จะร่วมเดือนเช่นกันที่ข้าพเจ้าอดตาหลับขับตานอน จนตอนนี้สองตาตีบตี่กำลังนับญาติกับช่วงช่วงหลินหุ้ยเข้าทุกทีแล้ว
ค่ำนี้อากาศดีมีลมอ่อนพัดโชย สลับลมแรงวูบมาเป็นระยะ ท้องฟ้ามืดมิดไม่เห็นเดือนดาว จิ้งหรีดร้องลั่นกว่าทุกหัวค่ำคงเพราะไม่มีเสียงฝนมาประชันเลยกรีดปีกกันใหญ่
มีกล่องคอมเม้นท์ก็ดีไปอย่างนะขอรับ ได้โผล่มานั่งคุยเหมือนเขียนจดหมายถึงกัน ทั้งยังเป็นจดหมายที่คล้ายควักขึ้นมาจากซองเสื้อหลังมื้อค่ำข้างกองไฟ แล้วอ่านออกเสียง เปลวไฟยักย้ายส่ายไหวเงาแสงฉาบไล้ใบหน้าใส ๆ นั่งอยู่รายรอบ บางคนนั่งท้าวคาง บ้างนั่งกอดเข่า ไม่ก็กำลังแคะขี้หู มีบ้างนั่งตาปรือใจลอย
เราคงคล้ายแค้มป์นักหัดเขียนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ใช้บางเวลาร่วมกัน เป็นเวลาฝึกฝนรจนาการ ค่ำลงก่อไฟไล่ลมหนาว นำเรื่องราวที่เขียนมาอ่านดัง ๆ (คนเขียนไม่เสร็จรอไว้วันหลัง) จากนั้นช่วยกันเสนอความคิดความเห็น เพื่อการศึกษาร่วมกันแลเจ้าของงานจะได้นำไปทบทวนปรับปรุงแก้ไข และกลับมาในค่ำคืนต่อ ๆ ไปด้วยชิ้นงานที่ค่อย ๆ พัฒนาทักษะขึ้น
ข้าพเจ้าคิดฝันถึงสังคมเยี่ยงนี้มาเนิ่นนาน
ท่านต้นข้าวคงทราบเรื่องโรงเรียนนักเขียนแห่งชาติของท่านเจ้าสำนักหอน ข้าพเจ้าอยากไปอยู่ที่นั่น คิดไปว่าคงดีไม่หยอกหากนักหัดเขียนสามารถมีวันเวลาร่วมกัน ช่วยกันหุงหาอาหาร ใช้เวลากลางวันเขียนงาน ค่ำลงรับฟังคำแนะนำจากอักขระกูรู แลกเปลี่ยนพิเคราะห์พิจารณ์กันและกัน ใช้วันเวลาครุ่นคิดถึงก็แต่งานที่กำลังเขียน ช่างไม่ต่างช่วงเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม
แต่นั่นเพียงสายลมครุ่นคำนึงที่วูบผ่านมา
ด้วยข้าพเจ้าตระหนัก ผู้ปลีกโลกสับสนวุ่นวายไปจาริกวิเวกกรรมฐานนั้นจักสำฤทธิ์อานิสงส์จริงพึงนำมรรคแห่งธรรมใช้ในชีวิตประจำวัน หากสงบอยู่ในธรรมารมณ์ก็เฉพาะยามปลีกวิเวกครั้นกลับเข้าผจญกิจชีวิตไม่อาจรักษาจิตแห่งธรรมไว้ได้คงสูญเวลาเปล่า
ฉันใดฉันนั้น
นักหัดเขียนใช้เวลาร่วมกัน ได้เรียนรู้หลักที่ถูกที่ควรเพื่อปรับฐานตัวเอง ได้รับคำแนะนำดึงจุดดีชี้จุดด้อยของตัวเอง ช่วยให้สามารถก้าวข้ามขวากขวางที่หากเพียงฝึกฝนโดยลำพังอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าสำเหนียก
นั่นย่อมเป็นเรื่องดี
แต่ก็เป็นช่วงเวลาเพียงชั่วครั้งคราว เราไม่สามารถใช้เวลาเยี่ยงนั้นตลอดชีวิต ยังต้องกลับออกมาสู้ชีวิตจริง สู่โลกประจำวัน ช่วงเวลาขีดเขียนหาใช่ชั่วระยะปฏิบัติธรรม แต่เป็นชีวิตทั้งชีวิต ชีวิตที่อุทิศแล้วอักขระวิถี
งานเขียนเป็นเช่นว่ายน้ำหรือปั่นจักรยาน เราไม่สามารถสร้างทักษะเหล่านั้นได้จากรับฟังปาฏกฐา มีแต่ต้องลงมือปฏิบัติ
เข้าแค้มป์ฝึกอบรมจึงให้ผลดีที่การเรียนรู้ แต่จะใช้ได้หรือไม่ยังต้องขึ้นกับวันเวลาของการฝึกฝนจริงจัง นั่นคือวันเวลาแรมเดือนแรมปี ปีแล้วปีเล่า วันเวลาของชีวิตประจำวันนี่เอง
การดำเนินชีวิตและพัฒนาทักษะขีดเขียนด้วยจำนวนชิ้นงานที่เพิ่มขึ้นตามวันเวลาไปพร้อมกันจึงคือความเป็นจริง
ข้าพเจ้าพบโลกเช่นนั้นที่นี่ เรามีท่านเจ้าสำนักคอยให้คำแนะนำทุกวัน วันต่อวัน เรามีกองไฟของเราให้ได้นั่งล้อมพร้อมหน้าอ่านงานอุ่น ๆ ที่เพิ่งเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ อ่านดัง ๆ และเรามีเหล่าสหายคอยแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นด้วยอัธยาศัยไมตรี
แค้มป์นักหัดเขียนสำหรับข้าพเจ้าไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป
แต่เป็นความจริง ณ ปัจจุบันขณะ เป็นลานสำนักที่พวกเรานั่งกันสลอนนี่เอง
การใช้องค์ประกอบทุกด้านของศิลปะการประพันธ์ก่อปฏิมากรรมอักขระนั้นใช่ง่าย ข้าพเจ้าเองยามเริ่มไม่รู้กระทั่งจะวางบทสนทนาไว้ตรงไหน? เมื่อไรจึงจะเป็นบทบรรยายมากน้อยแค่ไหนจึงพอดี? ตรงไหนผู้เขียนควรเล่าช่วงไหนควรปล่อยให้ตัวละคอนบอกกล่าว? ข้าพเจ้าไม่รู้ไปเสียทั้งนั้น ถึงยามนี้ก็ยังไม่รู้เยี่ยงเดิม แต่วันเวลาผ่านได้แปรเป็นทักษะขีดเขียนไปตามมีตามเกิด รู้เพียงเขียนไปเรื่อย ๆ นั่นคงเป็นหลักการหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ายึดมั่น
ปะท่านต้นข้าวท่านธีรเขียนงานต่อเนื่องมาเยี่ยงนี้น่ายินดีนัก
ข้าพเจ้าจะมานั่งฟังท่านอ่านงานข้างกองไฟ แลพูดคุยความเห็นต่ำต้อยออกไปตามแต่หางอึ่งน้อยจะพอกระดิก นั่นก็ด้วยแรงปรารถนาใคร่เห็นความจำเริญก้าวหน้าแห่งอักขระทักษะของมิ่งมิตรโดยแท้ ขออย่าได้มองเห็นเป็นอื่นเลย
หวังตัวอักษรทั้งหมดแทนแรงใจที่ส่งมาขอรับ
คารวะ
แลกถ้อยร้อยความ : ฉันจะอยู่...เคียงคู่เธอ
นักเขียนออนไลน์ จำต้องสวมหมวกหลายใบ นอกจากเขียนแล้วยังต้องพิสูจน์อักษร, เรียงพิมพ์และเป็นบรรณาธิการให้ตัวเอง แน่ล่ะเราไม่อาจสู้มืออาชีพในสื่อสิ่งพิมพ์ แต่กับความเอาใจใส่เราย่อมไม่ยินยอมน้อยหน้า
วรรคตอนช่องไฟสวยงามอ่านง่าย ปรู๊ฟตัวสะกดแก้คำผิด เชื่อว่าท่านต้นข้าวผ่านขั้นตอนเหล่านี้เป็นที่เรียบร้อย คำชมจึงควรยกวางไว้เสียข้างตั่ง
อีกความเป็นเอกภาพของเรื่อง การดำเนินเรื่อง ความสมดุลของบทบรรยายบทสนทนาก็ขอยกไว้เสียข้างตั่งเช่นกันเพราะหากจะกล่าวชมออกไปก็ให้ขวยใจ เอ๊ะอย่างไรมาชมกันเอง
ปะสองประโยคสะกิดใจใคร่นำมาพูดคุย
ธนาธิปร้องห้ามเสียงดังอย่างลืมตัวเกษราพูดอย่างดีใจ
ประเด็นสำหรับครั้งนี้คือ 'อย่าง' ขอรับ
'อย่าง' เป็นคล้ายเส้นรุ้งที่ 30องศาเหนือแยกนักเขียนจอมเก๋าจากนักเขียนทั่วไป ข้อสังเกตอันข้าพเจ้าพบเห็นเกี่ยวด้วยคำ 'อย่าง' เกิดแต่ผ่านตางานนักเขียนน้อยใหญ่หาได้ร่ำเรียนจากสำนักอักขระกูรูท่านใด จึงขอท่านต้นข้าวอย่าได้ใส่ใจเพียงฟังไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามนะขอรับ
ยอดชายนายสตีวี่กล่าวไว้ใน On Writing 'จงฆ่า Adverb ของคุณให้หมด!' แล้วเจ้าตัวก็วงเล็บว่า 'อดเสียดายไม่ได้เหมือนกัลล์'
นักเขียนฝรั่งชอบใส่คำ 'ly' น่ะขอรับ ไม่ว่าตัวละคอนจะทำอะไรนักเขียนอยากขยายให้ผู้อ่านเห็นภาพ เขายิ้มอย่างน่าเอ็นดู เธอเอนกายอย่างยั่วยวน เจ้าหล่อนยิ้มอย่างมีเลศนัย
ทำไมนายสตีวีจึงบอกให้ตัด Adverbพวกนั้น?
ท่านต้นข้าวลองตอบหน่อยเป็นไร ทิ้งคำตอบไว้ที่บล็อกนะขอรับ แล้วเราค่อยคุยกันต่อ..
คารวะ
ป.ล.อย่างยัยปิยะพรเนี่ย ขอท่านต้นข้าวอยู่ห่าง ๆ ไว้นะขอรับ ;)
สวัสดีค่ะพี่ธุลีดิน
ตอบลบที่ภูเรือขณะนี้หนาวจับจิตจับใจจริง ๆ ค่ะ อาบน้ำทีไรก็เหมือนเอาน้ำแข็งมาละลายแล้วราดตัวดี ๆ นี่เอง แต่รู้ดีว่าที่ภาคใต้คงหนักหนาสาหัสมากกว่า ที่จริงต้นข้าวไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสาร (ทั้งที่รู้ว่าจำเป็นหรับนักหัดเขียน) ก็เลยเพิ่งรู้ไม่นานมานี่เองว่าน้ำท่วมภาคใต้
ต้นข้าวเข้ามาแวะเวียนที่บล็อกพี่ธุลีดินบ่อย ๆ ค่ะ แต่ไม่ได้เข้ามาทักทาย ก็เหมือนที่อยู่ในห้องหนอนมาพักใหญ่ แต่ไม่เคยเข้าไปคุยกับเจ้าสำนักหนอน ในห้องคุยกับวินทร์ฯ สักที ไม่รู้ว่ากลัวอะไร ครั้งนี้พี่ธุลีดินถึงกับเปิดพื้นที่ไว้ให้ รู้สึกขอบคุณจริง ๆ ค่ะ
ที่จริงต้นข้าวเพิ่งจะหัดเขียนได้ไม่นาน แม้จะเข้าห้องหนอนมาได้ครึ่งปี แต่ที่เขียนครั้งแรก ๆ ก็จะวนเวียนอยู่กับเรื่องส่วนตัวและเรื่องไร้สาระซะเป็นส่วนใหญ่ ที่เขียนเป็นเรื่องราวก็เพิ่งจะสองสามเดือนที่ผ่านมานี่เอง รู้ตัวว่าเป็นการเขียนแบบลองผิดลองถูก และเป็นอย่างที่พี่ธุลีดินว่า ก็คือไม่รู้จะใส่บทสนทนาตรงไหน และที่สำคัญหลังบทสนทนาไม่รู้จะบรรยายยังไง
ช่วงที่เขียน ต้นข้าวมักเปิดหนังสือดูบทสนทนาของตัวละคร เล่มที่เปิดดูบ่อย ๆ ก็คือพันธุ์หมาบ้า เพราะเล่มนี้มีบทสนทนาค่อนข้างเยอะ แต่ที่ดูมากกว่าก็คือการบรรยายท้ายบทสนทนาอีกนั่นแหละ
และที่พี่ธุลีดินถามว่าทำไมสตีเฟ่น คิง ถึงบอกให้ตัด Adverb พวกนั้น?
ต้นข้าวคิดว่า Adverb คือการบรรยายให้ผู้อ่านเห็นภาพ แต่สตีเฟน คิง คงอยากบอกว่าไม่จำเป็นต้องบรรยายขนาดนั้น ปล่อยให้ผู้อ่านมีจินตนาการเองบ้างก็ได้
หรือถ้ามองอีกมุมสตีเฟน คิง อาจคิดว่า แทนการใช้ Adverb เราอาจใช้อย่างอื่น เช่นบทสนทนาของตัวละครในเรื่อง
ส่วนการบ้านที่พี่ธุลีดินให้มาทบทวนนั้น ต้นข้าวจนปัญญาจริง ๆ ค่ะ
“เกษจะรอคุณค่ะ จะทำอาหารไว้รอนะคะ” เกษราพูดอย่างดีใจ
ถ้าไม่ใช้คำนี้ พี่ธุลีดินคิดว่าควรปล่อยไว้เฉย ๆ หรือเติมคำอื่นแทนคะ? เช่น ‘เกษราพูดอย่างดีใจ’ เปลี่ยนเป็น ‘เกษรายิ้มออกมาได้’
ส่วน “อย่านะ!” ธนาธิปร้องห้ามเสียงดังอย่างลืมตัว อาจเปลี่ยนเป็น ‘น้ำเสียงของธนาธิปดูตกอกตกใจ’
และถ้าไม่ใช่ตามที่ต้นข้าวคาดเดา ท้ายประโยคนี้ควรเป็นอะไร? รบกวนพี่ธุลีดินแนะนำด้วยนะคะ
พี่ธุลีดินคะ ที่จริงหนังสือ On Writing ต้นข้าวเคยเห็นบ่อย ๆ ในร้านหนังสือ และให้ความสนใจในฐานะที่เป็นหนังสือของสตีเฟน คิง แต่พอเห็นชื่อเรื่องก็คิดว่าเอาไว้ก่อน เขาใช้ชื่อภาษาไทยว่า ‘เขียนนิยายให้ขายดี’ มันก็เลยไม่น่าสนใจน่ะค่ะ แต่เมื่อเห็นพี่ธุลีดินกล่าวถึง ต้นข้าวเลยเข้าไปดูรายละเอียดของหนังสือเล่มนี้และสั่งซื้อกับ สนพ.มติชน เรียบร้อยแล้วค่ะ
ต้องขอบคุณพี่ธุลีดินด้วยนะคะ
-ต้นข้าว-
ป.ล. พี่ธุลีดินคะ ต้นข้าวพยายามส่งความคิดเห็นมาพักใหญ่ แต่ไม่รู้ทำไมส่งไม่ได้ กะว่าจะพยายามอีกสักพัก สองพัก
ขอสะแหลนมาสะเหล่อหน่อยเถอะ
ตอบลบข้าเจ้ามีเรื่องสงสัย
'แต่เช้ามานี่เมฆฝนผ่อนเบาอยุดกรำสายเสียชั่ววัน'
"อยุด" ??? ศัพย์ใหม่หรือเจ้าคะ ไม่เคยได้ยิน
ด้วยมิตร + เพชรา
เย็นลมบ่ายสวัสดิ์ขอรับท่านต้นข้าว
ตอบลบทราบว่าท่านสั่ง 'On Writing' ไว้ก็ให้ยินดี
สำนวนความเรียงของลุงแกเข้าฝัก (อย่างว่าล่ะขอรับดีกรีอันดับโลก) แกไม่ได้บอกว่า 'นี่แน่ะ! เขียนอย่างนี้นะ' แต่ใช้วิธีเดียวกับนิยายของแกคือเล่าตะล่อมไปเรื่อย ๆ กระทั่งจบช่วงตอน ภาพใหญ่ใจความที่ต้องการสื่อก็จะฝังลงในจิตสำนึกผู้อ่านราวลูกนิมิตฝังใต้ใบเสมา (ปานนั้น)
สำนวนแปลคมพอกัน
เสียดายไม่ทราบเป็นความคิดใคร กลับตั้งชื่อแนวฮาวทูหวังทำยอดขายบ้องตื้นเสียอย่างนั้น (ข้าพเจ้าเรียก 'On writing' ใช่เห่อฝาหรั่งหามิได้ แต่เพราะคิงก์ตั้งชื่อไว้เอี่ยมมากไม่อยากเอ่ยชื่อพากษ์ไทยเลย)(ทำลายคุณค่าเนื้อสารในเล่มเสียอย่างน่าบัดซบ)(แหะ แหะ อันนี้ใช้ 'อย่าง' ได้ เพราะข้าพเจ้าไม่มีปัญญาบรรยายอาการบัดซบ อิ อิ)
ท้ายเล่มลุงคิงก์หยิบเรื่องสั้นคัดสรรมือใหม่มาใส่ไว้ เป็นแนวหักมุมขอรับ อ่านจบท่านต้นข้าวอาจพบทางออก..ทำอย่างไรเรื่องต่อไปจึงจบแบบหักให้พี่ท่านซารัญญ่าอึ้งไปเลย.. ;)
เมื่อท่านต้นข้าวมี 'On Writing' อยู่กับตัว(แลกับใจ)แล้ว ประเด็น 'อย่าง' จึงมิพักกล่าวถึงอีก หวังท่านต้นข้าวจะได้คำตอบซึ่งจะนำให้ท่านต้นข้าวล่วงสู่อีกอาณาจักรของโลกอักษรนั่นเลยเทียว (ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น)
ข้าพเจ้าจำหยุดใช้คอมพ์เพื่อฟื้นสุขภาพ ไว้วันอาทิตย์จะมาตะลุยพิมพ์อีกที หากท่านต้นข้าวมีงานชิ้นใหม่แลใคร่สดับความเห็นต่ำต้อยขอได้นำมาแปะไว้ที่บล็อก
เจอกันวันอาทิตย์หน้าขอรับ
คารวะ
OOO
ขอบคุณท่านคุณพระสำหรับคำผิด เจออีกก็เตือนอีกนะทั่น ตอนนี้หน้าบล็อกข้าพเจ้าบนจอท่านแสดงผลอย่างไรบ้าง? ปกติไหม?
อ้าว ที่แท้มันเป็นคำผิดหรอกหรือ? อุตส่าห์ดีใจ นึกว่าจะได้บันทึกศัพท์ใหม่ลงไปแทนขี้เลื่อยในสมองอีกตัว
ตอบลบเรื่องหน้าจอ?
แจ่มแหว่มเลย
คราก่อนขอบสีเทาด้านหน้าติดตัวอักษรไปสองสามคำในหนึ่งวรรค ต้องทำไฮไลด์ให้มันทุกครั้งที่เปิดอ่าน ไม่รู้ว่าเป็นเฉพาะเครื่องข้าพเจ้าเครื่องเดียวหรือเปล่านะ แวบเข้าไปเล่นในร้านเน็ตฯ ไม่เห็นจะเป็น
ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้เครื่องประจำเสียด้วยสิ มานั่งหน้าแฉล้มอยู่ในห้องสมุดอีกแล้วเจ้าค่ะ หมู่นี้ว่างจัดไม่มีอะไรทำ โรคขี้เกียจกำลังจะซึมเข้ากระแสเลือด
ตั้งใจจะปิดบทสุดท้ายของนิยายให้ได้ในสิ้นปีนี้ ไม่แน่อาจต้องเลื่อนไปเป็นสิ้นปีหน้า ยิ่งเขียนยิ่งสับสน ข้าเจ้ารักษาบุคลิกของตัวละครเอาไว้ไม่ได้ ท่านพอมีคำแนะนำบ้างไหม?
ด้วยไมตรีจิต
พายอาร์ฯ
อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านคุณพระ
ตอบลบขอบคุณสำหรับแจ้งผลหน้าจอ แจ่มแจ๋วคงเพราะนั่นเป็นขนาดปกติของธีม แต่ข้าพเจ้าไม่อยากให้บรรทัดยาวจนกวาดตากลับหาบรรทัดถัดไปไม่เจอ ไม่ก็อาจเพราะข้าพเจ้าติดอ่านขนาดบรรทัดของสำนักกับหน้า Main Page
ตอนนี้ลองลดขนาดหน้าบล็อก(อีกแย้ว)พบปัญหาตอนย่อขยายข้อความ แถวหน้าเลื่อนไปชิดขอบกระดานยังกะรักกันเต็มประดา ยังอับจนปัญญาไม่ทราบเป็นเพราะอะไร (รบกวนแจ้งผลอีกทีนะขอรับ)
คำแนะนำที่ไม่อาจถือเป็นคำแนะนำอันใดของข้าพเจ้าคือ..'เขียนร่างแรกให้เสร็จ!' (ใส่เครื่องหมายโต๊กกาใจให้ด้วยแปลว่าเน้นย้ำ)
หลักการทั้งหลายไม่ว่าบุคลิกตัวละคอน, บทสนทนาหลักแหลม, ตัวละคอนทุกตัวต้องมีความต้องการบางอย่าง, ดำเนินเรื่องกระชับ, ปมปัญหา. เอาล่ะเก้าลอเก้าดีกว่า ทั้งหลายทั้งเพเรามักสับสนนำมาพิเคราะห์ขณะเขียนกลายเป็นเครื่องถ่วงความสนุกทำลายบันเทิงรสไปอย่างน่าเสียดาย ซ้ำร้ายจะพาลเขียนไม่จบก็เพราะเจ้าหลัก 108 วิธีเขียนนิยายชั้นดีนี่แลขะรับ
อย่างที่เคยเรียน..เราเป็นนักมวย!
หน้าที่คือตะบันฝ่ายตรงข้าม แล้วส่งมือให้กรรมการชูก่อนก้าวลงเวที จะใช้หมัดไหนแท็คติกอะไรใครจะไปสนกัดหูได้เป็นกัด (แฮะ ๆ นั่นก็เว่อร์ไปหน่อย)
เมื่อเสร็จร่างแรกแล้วนั่นแลขะรับ จึงนำหลักการต่าง ๆ มาปรับใช้แก้เกลาเรื่องในรอบสอง เหมือนนายช่างเก็บงาน ตรงไหนควรตัดออกซอกไหนควรต่อเติม วัดกึ๋นกันตรงนี้ล่ะขะรับ ข้าพเจ้ายังเคยสงสัยว่านิยายซับซ้อนซ่อนเงื่อนบางเรื่องพวกนักเขียนเล่นมุกย้อนรอยแอบไปซ่อนปมไว้ตอนต้นเรื่องในร่างสองนี่แลขะรับ (ประมาณว่าขณะทวนร่างแรกความคิดเด็ด ๆ ก็โผล่ขึ้นมา) ทำเอาผู้อ่านตาค้าง อุทานว่า 'คิดได้ไง!'
ร่างสองสนุกที่ได้ต่อโน่นเติมนี่ ร่างแรกโหดมากที่จะต้องพาเรื่องไปให้จบผจญอุปสรรคนานาประการ แต่ทั้งหมดก็คือมนต์เสน่ห์ของรจนาการ เมื่อผ่านฝึกฝนจนอยู่มือทักษะยามใช้เกลาร่างสองจะถูกใช้ในร่างแรกโดยอัตโนมัติ ยิงนัดเดียวเฉี่ยวเป้าเข้าไปทุกที
เป็นเพียงความคิดเห็นต่ำต้อยของผู้น้อยซึ่งยังต้อยแตะอยู่ระยะเอ็มบริโอ้ เขียนร่างแรกไม่จบสักที ตอนตัดใจหยุดคิดเขียน 'ไชยา' ข้าพเจ้าซึมเศร้าราวม. ๒ ถูกแฟนทิ้ง เวลาสองเดือนสูญไปเปล่าปลี้กลายเป็นปีนี้ข้าพเจ้าไม่มีนิยายสักเรื่อง เป็นความล้มเหลวอย่างน่าเบิร์ดกะโหลก
ทราบว่าท่านกำลังเขียนเรื่องค้างอยู่คล้ายปะสหายร่วมเดินทาง ความยินดีนั้นมิอาจบรรยาย อย่าเพิ่งรีบจบล่ะทั่น!
คารวะ
เข้ามาฟังคำแนะนำจากพี่ธุลีดินด้วยคนค่ะ
ตอบลบตอนนี้ต้นข้าวยังงงงวยกับ 'อย่าง' ของพี่ธุลีดินอยูไม่เลิก และคงต้องงงต่อไปอีกอาทิตย์กว่า ๆ เพราะหนังสือ 'On Writing' คงมาถึงวันจันทร์ ซึ่งตรงกับวันที่ต้นข้าวไปกาญจนบุรีพอดี
ต้นข้าวหวังว่า 'On Writing' คงจะอธิบายสิ่งที่ต้นข้าวสงสัยได้ค่ะ
เมื่อคิดแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา อยากเรียนรู้ก่อนที่จะเขียนเรื่องต่อไปน่ะค่ะ
..............
พระพายจ๊ะ
จะรออ่านนิยายของพระพายนะ สำหรับเราแล้วการเขียนนิยายยังห่างไกลนัก เพราะแค่เรื่องสั้น (มาก) ยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปใส่ไว้ตรงไหนด้วยซ้ำ
เข้ามาแจ้งผลการรับชมอีกครั้งเจ้าค่ะ
ตอบลบโดยทั่วไปดูโอเคเจ้าค่ะ ตรงขอบด้านหน้าไม่มีปัญหาแล้ว
ติดอยู่นิดเดียวตรง หน้าที่เป็นบทกลอน ตัวอักษรที่เป็นบทกลอนดูจะเล็กเกินไป ต้องนั่งเขม้นมอง ส่วนหน้าที่เป็นบทความ และคอมเม้นท์ทุกอัน ...แจ่มแหว่ม
หมดรายการรายงานผลแล้วก็มาถึงรายการพูดคุย
ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำด้านบนเจ้าค่ะ แต่ร่างหนึ่งข้าเจ้าไม่มีหรอก แต่เอ ไอ้ที่กำลังเขียนอยู่อาจเรียกว่าร่างหนึ่งก็ได้ ใช่ไหม?
งั้นข้าเจ้าก็คงต้องเขียนต่อไปเรื่อยๆ ตัวละครแต่ละตัวจะเป็นอย่างไรก็ให้อารมณ์ขณะที่ข้าเจ้าเขียนนั้นพาไป แล้วค่อยมาเกลาใหม่อีกครั้งหลังจากเขียนจบแล้ว ต่างเวลา ต่างอารมณ์ เราจะเปรียบเทียบกันได้เองว่าอันไหนดี อันไหนต้องปรับแก้ ใช่ไหม?
เอาล่ะ งั้นวันจันทร์ข้าเจ้าจะลุยต่อ ...ส่วนวันนี้ ต้องทำงานก่อน (เดี๋ยวไม่มี 'ไรกิน)
คารวะ
ต้นข้าวจ๊ะ
ไม่ให้อ่านหรอก ... เค้าอาย...!
-พระพาย-