@ ท่านต้นข้าว : ฉันจะอยู่...เคียงคู่เธอ

ย่ำค่ำวันอาทิตย์สวัสดิ์ขอรับท่านต้นข้าว

ทางภูเลยคงหนาวแล้ว ภูเลยังเย็นชื้นด้วยไอฝน พายุลมแรงพัดติดต่อกันจะร่วมเดือน น้ำเจิ่งจนนองทุ่งมองทางไหนเห็นแต่ผืนน้ำสมดังคำในน้ำมีปลาในนาก็มีปลา พวกนกกาดูจะลำบากรวงรังรึก็หามีหลังคาฟากฝากันฝน ยามจะบินออกหาอาหารมาเผื่อลูก ๆ ที่รอนั่นเล่าปีกน้อยก็อ่อนเกินต้านแรงลมเกรงจะพากันอดตายเสียทั้งรังเป็นแท้

แต่เช้ามานี่เมฆฝนผ่อนเบาอยุดกรำสายเสียชั่ววัน มั่นอยู่ว่ายามค่ำคืนคงไม่แคล้วกระหน่ำหลังคาสังกะสียันตีสามตีสี่แผดเสียงโครมครามพร้อมเขย่าขนำเสียไม่เป็นอันหลับตาลงอีกแน่ จะร่วมเดือนเช่นกันที่ข้าพเจ้าอดตาหลับขับตานอน จนตอนนี้สองตาตีบตี่กำลังนับญาติกับช่วงช่วงหลินหุ้ยเข้าทุกทีแล้ว

ค่ำนี้อากาศดีมีลมอ่อนพัดโชย สลับลมแรงวูบมาเป็นระยะ ท้องฟ้ามืดมิดไม่เห็นเดือนดาว จิ้งหรีดร้องลั่นกว่าทุกหัวค่ำคงเพราะไม่มีเสียงฝนมาประชันเลยกรีดปีกกันใหญ่

มีกล่องคอมเม้นท์ก็ดีไปอย่างนะขอรับ ได้โผล่มานั่งคุยเหมือนเขียนจดหมายถึงกัน ทั้งยังเป็นจดหมายที่คล้ายควักขึ้นมาจากซองเสื้อหลังมื้อค่ำข้างกองไฟ แล้วอ่านออกเสียง เปลวไฟยักย้ายส่ายไหวเงาแสงฉาบไล้ใบหน้าใส ๆ นั่งอยู่รายรอบ บางคนนั่งท้าวคาง บ้างนั่งกอดเข่า ไม่ก็กำลังแคะขี้หู มีบ้างนั่งตาปรือใจลอย

เราคงคล้ายแค้มป์นักหัดเขียนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ใช้บางเวลาร่วมกัน เป็นเวลาฝึกฝนรจนาการ ค่ำลงก่อไฟไล่ลมหนาว นำเรื่องราวที่เขียนมาอ่านดัง ๆ (คนเขียนไม่เสร็จรอไว้วันหลัง) จากนั้นช่วยกันเสนอความคิดความเห็น เพื่อการศึกษาร่วมกันแลเจ้าของงานจะได้นำไปทบทวนปรับปรุงแก้ไข และกลับมาในค่ำคืนต่อ ๆ ไปด้วยชิ้นงานที่ค่อย ๆ พัฒนาทักษะขึ้น

ข้าพเจ้าคิดฝันถึงสังคมเยี่ยงนี้มาเนิ่นนาน

ท่านต้นข้าวคงทราบเรื่องโรงเรียนนักเขียนแห่งชาติของท่านเจ้าสำนักหอน ข้าพเจ้าอยากไปอยู่ที่นั่น คิดไปว่าคงดีไม่หยอกหากนักหัดเขียนสามารถมีวันเวลาร่วมกัน ช่วยกันหุงหาอาหาร ใช้เวลากลางวันเขียนงาน ค่ำลงรับฟังคำแนะนำจากอักขระกูรู แลกเปลี่ยนพิเคราะห์พิจารณ์กันและกัน ใช้วันเวลาครุ่นคิดถึงก็แต่งานที่กำลังเขียน ช่างไม่ต่างช่วงเวลาแห่งการปฏิบัติธรรม

แต่นั่นเพียงสายลมครุ่นคำนึงที่วูบผ่านมา

ด้วยข้าพเจ้าตระหนัก ผู้ปลีกโลกสับสนวุ่นวายไปจาริกวิเวกกรรมฐานนั้นจักสำฤทธิ์อานิสงส์จริงพึงนำมรรคแห่งธรรมใช้ในชีวิตประจำวัน หากสงบอยู่ในธรรมารมณ์ก็เฉพาะยามปลีกวิเวกครั้นกลับเข้าผจญกิจชีวิตไม่อาจรักษาจิตแห่งธรรมไว้ได้คงสูญเวลาเปล่า

ฉันใดฉันนั้น

นักหัดเขียนใช้เวลาร่วมกัน ได้เรียนรู้หลักที่ถูกที่ควรเพื่อปรับฐานตัวเอง ได้รับคำแนะนำดึงจุดดีชี้จุดด้อยของตัวเอง ช่วยให้สามารถก้าวข้ามขวากขวางที่หากเพียงฝึกฝนโดยลำพังอาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าสำเหนียก

นั่นย่อมเป็นเรื่องดี

แต่ก็เป็นช่วงเวลาเพียงชั่วครั้งคราว เราไม่สามารถใช้เวลาเยี่ยงนั้นตลอดชีวิต ยังต้องกลับออกมาสู้ชีวิตจริง สู่โลกประจำวัน ช่วงเวลาขีดเขียนหาใช่ชั่วระยะปฏิบัติธรรม แต่เป็นชีวิตทั้งชีวิต ชีวิตที่อุทิศแล้วอักขระวิถี 

งานเขียนเป็นเช่นว่ายน้ำหรือปั่นจักรยาน เราไม่สามารถสร้างทักษะเหล่านั้นได้จากรับฟังปาฏกฐา มีแต่ต้องลงมือปฏิบัติ

เข้าแค้มป์ฝึกอบรมจึงให้ผลดีที่การเรียนรู้ แต่จะใช้ได้หรือไม่ยังต้องขึ้นกับวันเวลาของการฝึกฝนจริงจัง นั่นคือวันเวลาแรมเดือนแรมปี ปีแล้วปีเล่า วันเวลาของชีวิตประจำวันนี่เอง

การดำเนินชีวิตและพัฒนาทักษะขีดเขียนด้วยจำนวนชิ้นงานที่เพิ่มขึ้นตามวันเวลาไปพร้อมกันจึงคือความเป็นจริง

ข้าพเจ้าพบโลกเช่นนั้นที่นี่ เรามีท่านเจ้าสำนักคอยให้คำแนะนำทุกวัน วันต่อวัน เรามีกองไฟของเราให้ได้นั่งล้อมพร้อมหน้าอ่านงานอุ่น ๆ ที่เพิ่งเสร็จสด ๆ ร้อน ๆ อ่านดัง ๆ และเรามีเหล่าสหายคอยแลกเปลี่ยนความคิดความเห็นด้วยอัธยาศัยไมตรี

แค้มป์นักหัดเขียนสำหรับข้าพเจ้าไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป

แต่เป็นความจริง ณ ปัจจุบันขณะ เป็นลานสำนักที่พวกเรานั่งกันสลอนนี่เอง

การใช้องค์ประกอบทุกด้านของศิลปะการประพันธ์ก่อปฏิมากรรมอักขระนั้นใช่ง่าย ข้าพเจ้าเองยามเริ่มไม่รู้กระทั่งจะวางบทสนทนาไว้ตรงไหน? เมื่อไรจึงจะเป็นบทบรรยายมากน้อยแค่ไหนจึงพอดี? ตรงไหนผู้เขียนควรเล่าช่วงไหนควรปล่อยให้ตัวละคอนบอกกล่าว? ข้าพเจ้าไม่รู้ไปเสียทั้งนั้น ถึงยามนี้ก็ยังไม่รู้เยี่ยงเดิม แต่วันเวลาผ่านได้แปรเป็นทักษะขีดเขียนไปตามมีตามเกิด รู้เพียงเขียนไปเรื่อย ๆ นั่นคงเป็นหลักการหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ายึดมั่น

ปะท่านต้นข้าวท่านธีรเขียนงานต่อเนื่องมาเยี่ยงนี้น่ายินดีนัก

ข้าพเจ้าจะมานั่งฟังท่านอ่านงานข้างกองไฟ แลพูดคุยความเห็นต่ำต้อยออกไปตามแต่หางอึ่งน้อยจะพอกระดิก นั่นก็ด้วยแรงปรารถนาใคร่เห็นความจำเริญก้าวหน้าแห่งอักขระทักษะของมิ่งมิตรโดยแท้ ขออย่าได้มองเห็นเป็นอื่นเลย

หวังตัวอักษรทั้งหมดแทนแรงใจที่ส่งมาขอรับ

คารวะ

แลกถ้อยร้อยความ : ฉันจะอยู่...เคียงคู่เธอ

นักเขียนออนไลน์ จำต้องสวมหมวกหลายใบ นอกจากเขียนแล้วยังต้องพิสูจน์อักษร, เรียงพิมพ์และเป็นบรรณาธิการให้ตัวเอง แน่ล่ะเราไม่อาจสู้มืออาชีพในสื่อสิ่งพิมพ์ แต่กับความเอาใจใส่เราย่อมไม่ยินยอมน้อยหน้า

วรรคตอนช่องไฟสวยงามอ่านง่าย ปรู๊ฟตัวสะกดแก้คำผิด เชื่อว่าท่านต้นข้าวผ่านขั้นตอนเหล่านี้เป็นที่เรียบร้อย คำชมจึงควรยกวางไว้เสียข้างตั่ง

อีกความเป็นเอกภาพของเรื่อง การดำเนินเรื่อง ความสมดุลของบทบรรยายบทสนทนาก็ขอยกไว้เสียข้างตั่งเช่นกันเพราะหากจะกล่าวชมออกไปก็ให้ขวยใจ เอ๊ะอย่างไรมาชมกันเอง

ปะสองประโยคสะกิดใจใคร่นำมาพูดคุย

ธนาธิปร้องห้ามเสียงดังอย่างลืมตัว
เกษราพูดอย่างดีใจ

ประเด็นสำหรับครั้งนี้คือ 'อย่าง' ขอรับ

'อย่าง' เป็นคล้ายเส้นรุ้งที่ 30องศาเหนือแยกนักเขียนจอมเก๋าจากนักเขียนทั่วไป ข้อสังเกตอันข้าพเจ้าพบเห็นเกี่ยวด้วยคำ 'อย่าง' เกิดแต่ผ่านตางานนักเขียนน้อยใหญ่หาได้ร่ำเรียนจากสำนักอักขระกูรูท่านใด จึงขอท่านต้นข้าวอย่าได้ใส่ใจเพียงฟังไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามนะขอรับ

ยอดชายนายสตีวี่กล่าวไว้ใน On Writing 'จงฆ่า Adverb ของคุณให้หมด!' แล้วเจ้าตัวก็วงเล็บว่า 'อดเสียดายไม่ได้เหมือนกัลล์'

นักเขียนฝรั่งชอบใส่คำ 'ly' น่ะขอรับ ไม่ว่าตัวละคอนจะทำอะไรนักเขียนอยากขยายให้ผู้อ่านเห็นภาพ เขายิ้มอย่างน่าเอ็นดู เธอเอนกายอย่างยั่วยวน เจ้าหล่อนยิ้มอย่างมีเลศนัย

ทำไมนายสตีวีจึงบอกให้ตัด Adverbพวกนั้น?

ท่านต้นข้าวลองตอบหน่อยเป็นไร ทิ้งคำตอบไว้ที่บล็อกนะขอรับ แล้วเราค่อยคุยกันต่อ..

คารวะ

ป.ล.อย่างยัยปิยะพรเนี่ย ขอท่านต้นข้าวอยู่ห่าง ๆ ไว้นะขอรับ ;)

7 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ1 ธันวาคม 2551 เวลา 20:50

    สวัสดีค่ะพี่ธุลีดิน

    ที่ภูเรือขณะนี้หนาวจับจิตจับใจจริง ๆ ค่ะ อาบน้ำทีไรก็เหมือนเอาน้ำแข็งมาละลายแล้วราดตัวดี ๆ นี่เอง แต่รู้ดีว่าที่ภาคใต้คงหนักหนาสาหัสมากกว่า ที่จริงต้นข้าวไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสาร (ทั้งที่รู้ว่าจำเป็นหรับนักหัดเขียน) ก็เลยเพิ่งรู้ไม่นานมานี่เองว่าน้ำท่วมภาคใต้

    ต้นข้าวเข้ามาแวะเวียนที่บล็อกพี่ธุลีดินบ่อย ๆ ค่ะ แต่ไม่ได้เข้ามาทักทาย ก็เหมือนที่อยู่ในห้องหนอนมาพักใหญ่ แต่ไม่เคยเข้าไปคุยกับเจ้าสำนักหนอน ในห้องคุยกับวินทร์ฯ สักที ไม่รู้ว่ากลัวอะไร ครั้งนี้พี่ธุลีดินถึงกับเปิดพื้นที่ไว้ให้ รู้สึกขอบคุณจริง ๆ ค่ะ

    ที่จริงต้นข้าวเพิ่งจะหัดเขียนได้ไม่นาน แม้จะเข้าห้องหนอนมาได้ครึ่งปี แต่ที่เขียนครั้งแรก ๆ ก็จะวนเวียนอยู่กับเรื่องส่วนตัวและเรื่องไร้สาระซะเป็นส่วนใหญ่ ที่เขียนเป็นเรื่องราวก็เพิ่งจะสองสามเดือนที่ผ่านมานี่เอง รู้ตัวว่าเป็นการเขียนแบบลองผิดลองถูก และเป็นอย่างที่พี่ธุลีดินว่า ก็คือไม่รู้จะใส่บทสนทนาตรงไหน และที่สำคัญหลังบทสนทนาไม่รู้จะบรรยายยังไง

    ช่วงที่เขียน ต้นข้าวมักเปิดหนังสือดูบทสนทนาของตัวละคร เล่มที่เปิดดูบ่อย ๆ ก็คือพันธุ์หมาบ้า เพราะเล่มนี้มีบทสนทนาค่อนข้างเยอะ แต่ที่ดูมากกว่าก็คือการบรรยายท้ายบทสนทนาอีกนั่นแหละ

    และที่พี่ธุลีดินถามว่าทำไมสตีเฟ่น คิง ถึงบอกให้ตัด Adverb พวกนั้น?

    ต้นข้าวคิดว่า Adverb คือการบรรยายให้ผู้อ่านเห็นภาพ แต่สตีเฟน คิง คงอยากบอกว่าไม่จำเป็นต้องบรรยายขนาดนั้น ปล่อยให้ผู้อ่านมีจินตนาการเองบ้างก็ได้

    หรือถ้ามองอีกมุมสตีเฟน คิง อาจคิดว่า แทนการใช้ Adverb เราอาจใช้อย่างอื่น เช่นบทสนทนาของตัวละครในเรื่อง

    ส่วนการบ้านที่พี่ธุลีดินให้มาทบทวนนั้น ต้นข้าวจนปัญญาจริง ๆ ค่ะ

    “เกษจะรอคุณค่ะ จะทำอาหารไว้รอนะคะ” เกษราพูดอย่างดีใจ

    ถ้าไม่ใช้คำนี้ พี่ธุลีดินคิดว่าควรปล่อยไว้เฉย ๆ หรือเติมคำอื่นแทนคะ? เช่น ‘เกษราพูดอย่างดีใจ’ เปลี่ยนเป็น ‘เกษรายิ้มออกมาได้’

    ส่วน “อย่านะ!” ธนาธิปร้องห้ามเสียงดังอย่างลืมตัว อาจเปลี่ยนเป็น ‘น้ำเสียงของธนาธิปดูตกอกตกใจ’

    และถ้าไม่ใช่ตามที่ต้นข้าวคาดเดา ท้ายประโยคนี้ควรเป็นอะไร? รบกวนพี่ธุลีดินแนะนำด้วยนะคะ

    พี่ธุลีดินคะ ที่จริงหนังสือ On Writing ต้นข้าวเคยเห็นบ่อย ๆ ในร้านหนังสือ และให้ความสนใจในฐานะที่เป็นหนังสือของสตีเฟน คิง แต่พอเห็นชื่อเรื่องก็คิดว่าเอาไว้ก่อน เขาใช้ชื่อภาษาไทยว่า ‘เขียนนิยายให้ขายดี’ มันก็เลยไม่น่าสนใจน่ะค่ะ แต่เมื่อเห็นพี่ธุลีดินกล่าวถึง ต้นข้าวเลยเข้าไปดูรายละเอียดของหนังสือเล่มนี้และสั่งซื้อกับ สนพ.มติชน เรียบร้อยแล้วค่ะ

    ต้องขอบคุณพี่ธุลีดินด้วยนะคะ

    -ต้นข้าว-

    ป.ล. พี่ธุลีดินคะ ต้นข้าวพยายามส่งความคิดเห็นมาพักใหญ่ แต่ไม่รู้ทำไมส่งไม่ได้ กะว่าจะพยายามอีกสักพัก สองพัก

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ1 ธันวาคม 2551 เวลา 21:00

    ขอสะแหลนมาสะเหล่อหน่อยเถอะ

    ข้าเจ้ามีเรื่องสงสัย

    'แต่เช้ามานี่เมฆฝนผ่อนเบาอยุดกรำสายเสียชั่ววัน'

    "อยุด" ??? ศัพย์ใหม่หรือเจ้าคะ ไม่เคยได้ยิน


    ด้วยมิตร + เพชรา

    ตอบลบ
  3. เย็นลมบ่ายสวัสดิ์ขอรับท่านต้นข้าว

    ทราบว่าท่านสั่ง 'On Writing' ไว้ก็ให้ยินดี

    สำนวนความเรียงของลุงแกเข้าฝัก (อย่างว่าล่ะขอรับดีกรีอันดับโลก) แกไม่ได้บอกว่า 'นี่แน่ะ! เขียนอย่างนี้นะ' แต่ใช้วิธีเดียวกับนิยายของแกคือเล่าตะล่อมไปเรื่อย ๆ กระทั่งจบช่วงตอน ภาพใหญ่ใจความที่ต้องการสื่อก็จะฝังลงในจิตสำนึกผู้อ่านราวลูกนิมิตฝังใต้ใบเสมา (ปานนั้น)

    สำนวนแปลคมพอกัน

    เสียดายไม่ทราบเป็นความคิดใคร กลับตั้งชื่อแนวฮาวทูหวังทำยอดขายบ้องตื้นเสียอย่างนั้น (ข้าพเจ้าเรียก 'On writing' ใช่เห่อฝาหรั่งหามิได้ แต่เพราะคิงก์ตั้งชื่อไว้เอี่ยมมากไม่อยากเอ่ยชื่อพากษ์ไทยเลย)(ทำลายคุณค่าเนื้อสารในเล่มเสียอย่างน่าบัดซบ)(แหะ แหะ อันนี้ใช้ 'อย่าง' ได้ เพราะข้าพเจ้าไม่มีปัญญาบรรยายอาการบัดซบ อิ อิ)

    ท้ายเล่มลุงคิงก์หยิบเรื่องสั้นคัดสรรมือใหม่มาใส่ไว้ เป็นแนวหักมุมขอรับ อ่านจบท่านต้นข้าวอาจพบทางออก..ทำอย่างไรเรื่องต่อไปจึงจบแบบหักให้พี่ท่านซารัญญ่าอึ้งไปเลย.. ;)

    เมื่อท่านต้นข้าวมี 'On Writing' อยู่กับตัว(แลกับใจ)แล้ว ประเด็น 'อย่าง' จึงมิพักกล่าวถึงอีก หวังท่านต้นข้าวจะได้คำตอบซึ่งจะนำให้ท่านต้นข้าวล่วงสู่อีกอาณาจักรของโลกอักษรนั่นเลยเทียว (ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น)

    ข้าพเจ้าจำหยุดใช้คอมพ์เพื่อฟื้นสุขภาพ ไว้วันอาทิตย์จะมาตะลุยพิมพ์อีกที หากท่านต้นข้าวมีงานชิ้นใหม่แลใคร่สดับความเห็นต่ำต้อยขอได้นำมาแปะไว้ที่บล็อก

    เจอกันวันอาทิตย์หน้าขอรับ

    คารวะ

    OOO

    ขอบคุณท่านคุณพระสำหรับคำผิด เจออีกก็เตือนอีกนะทั่น ตอนนี้หน้าบล็อกข้าพเจ้าบนจอท่านแสดงผลอย่างไรบ้าง? ปกติไหม?

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ4 ธันวาคม 2551 เวลา 10:56

    อ้าว ที่แท้มันเป็นคำผิดหรอกหรือ? อุตส่าห์ดีใจ นึกว่าจะได้บันทึกศัพท์ใหม่ลงไปแทนขี้เลื่อยในสมองอีกตัว

    เรื่องหน้าจอ?
    แจ่มแหว่มเลย

    คราก่อนขอบสีเทาด้านหน้าติดตัวอักษรไปสองสามคำในหนึ่งวรรค ต้องทำไฮไลด์ให้มันทุกครั้งที่เปิดอ่าน ไม่รู้ว่าเป็นเฉพาะเครื่องข้าพเจ้าเครื่องเดียวหรือเปล่านะ แวบเข้าไปเล่นในร้านเน็ตฯ ไม่เห็นจะเป็น

    ตอนนี้ก็ไม่ได้ใช้เครื่องประจำเสียด้วยสิ มานั่งหน้าแฉล้มอยู่ในห้องสมุดอีกแล้วเจ้าค่ะ หมู่นี้ว่างจัดไม่มีอะไรทำ โรคขี้เกียจกำลังจะซึมเข้ากระแสเลือด

    ตั้งใจจะปิดบทสุดท้ายของนิยายให้ได้ในสิ้นปีนี้ ไม่แน่อาจต้องเลื่อนไปเป็นสิ้นปีหน้า ยิ่งเขียนยิ่งสับสน ข้าเจ้ารักษาบุคลิกของตัวละครเอาไว้ไม่ได้ ท่านพอมีคำแนะนำบ้างไหม?


    ด้วยไมตรีจิต
    พายอาร์ฯ

    ตอบลบ
  5. อรุณสวัสดิ์ขอรับท่านคุณพระ

    ขอบคุณสำหรับแจ้งผลหน้าจอ แจ่มแจ๋วคงเพราะนั่นเป็นขนาดปกติของธีม แต่ข้าพเจ้าไม่อยากให้บรรทัดยาวจนกวาดตากลับหาบรรทัดถัดไปไม่เจอ ไม่ก็อาจเพราะข้าพเจ้าติดอ่านขนาดบรรทัดของสำนักกับหน้า Main Page

    ตอนนี้ลองลดขนาดหน้าบล็อก(อีกแย้ว)พบปัญหาตอนย่อขยายข้อความ แถวหน้าเลื่อนไปชิดขอบกระดานยังกะรักกันเต็มประดา ยังอับจนปัญญาไม่ทราบเป็นเพราะอะไร (รบกวนแจ้งผลอีกทีนะขอรับ)

    คำแนะนำที่ไม่อาจถือเป็นคำแนะนำอันใดของข้าพเจ้าคือ..'เขียนร่างแรกให้เสร็จ!' (ใส่เครื่องหมายโต๊กกาใจให้ด้วยแปลว่าเน้นย้ำ)

    หลักการทั้งหลายไม่ว่าบุคลิกตัวละคอน, บทสนทนาหลักแหลม, ตัวละคอนทุกตัวต้องมีความต้องการบางอย่าง, ดำเนินเรื่องกระชับ, ปมปัญหา. เอาล่ะเก้าลอเก้าดีกว่า ทั้งหลายทั้งเพเรามักสับสนนำมาพิเคราะห์ขณะเขียนกลายเป็นเครื่องถ่วงความสนุกทำลายบันเทิงรสไปอย่างน่าเสียดาย ซ้ำร้ายจะพาลเขียนไม่จบก็เพราะเจ้าหลัก 108 วิธีเขียนนิยายชั้นดีนี่แลขะรับ

    อย่างที่เคยเรียน..เราเป็นนักมวย!

    หน้าที่คือตะบันฝ่ายตรงข้าม แล้วส่งมือให้กรรมการชูก่อนก้าวลงเวที จะใช้หมัดไหนแท็คติกอะไรใครจะไปสนกัดหูได้เป็นกัด (แฮะ ๆ นั่นก็เว่อร์ไปหน่อย)

    เมื่อเสร็จร่างแรกแล้วนั่นแลขะรับ จึงนำหลักการต่าง ๆ มาปรับใช้แก้เกลาเรื่องในรอบสอง เหมือนนายช่างเก็บงาน ตรงไหนควรตัดออกซอกไหนควรต่อเติม วัดกึ๋นกันตรงนี้ล่ะขะรับ ข้าพเจ้ายังเคยสงสัยว่านิยายซับซ้อนซ่อนเงื่อนบางเรื่องพวกนักเขียนเล่นมุกย้อนรอยแอบไปซ่อนปมไว้ตอนต้นเรื่องในร่างสองนี่แลขะรับ (ประมาณว่าขณะทวนร่างแรกความคิดเด็ด ๆ ก็โผล่ขึ้นมา) ทำเอาผู้อ่านตาค้าง อุทานว่า 'คิดได้ไง!'

    ร่างสองสนุกที่ได้ต่อโน่นเติมนี่ ร่างแรกโหดมากที่จะต้องพาเรื่องไปให้จบผจญอุปสรรคนานาประการ แต่ทั้งหมดก็คือมนต์เสน่ห์ของรจนาการ เมื่อผ่านฝึกฝนจนอยู่มือทักษะยามใช้เกลาร่างสองจะถูกใช้ในร่างแรกโดยอัตโนมัติ ยิงนัดเดียวเฉี่ยวเป้าเข้าไปทุกที

    เป็นเพียงความคิดเห็นต่ำต้อยของผู้น้อยซึ่งยังต้อยแตะอยู่ระยะเอ็มบริโอ้ เขียนร่างแรกไม่จบสักที ตอนตัดใจหยุดคิดเขียน 'ไชยา' ข้าพเจ้าซึมเศร้าราวม. ๒ ถูกแฟนทิ้ง เวลาสองเดือนสูญไปเปล่าปลี้กลายเป็นปีนี้ข้าพเจ้าไม่มีนิยายสักเรื่อง เป็นความล้มเหลวอย่างน่าเบิร์ดกะโหลก

    ทราบว่าท่านกำลังเขียนเรื่องค้างอยู่คล้ายปะสหายร่วมเดินทาง ความยินดีนั้นมิอาจบรรยาย อย่าเพิ่งรีบจบล่ะทั่น!

    คารวะ

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ5 ธันวาคม 2551 เวลา 13:58

    เข้ามาฟังคำแนะนำจากพี่ธุลีดินด้วยคนค่ะ

    ตอนนี้ต้นข้าวยังงงงวยกับ 'อย่าง' ของพี่ธุลีดินอยูไม่เลิก และคงต้องงงต่อไปอีกอาทิตย์กว่า ๆ เพราะหนังสือ 'On Writing' คงมาถึงวันจันทร์ ซึ่งตรงกับวันที่ต้นข้าวไปกาญจนบุรีพอดี

    ต้นข้าวหวังว่า 'On Writing' คงจะอธิบายสิ่งที่ต้นข้าวสงสัยได้ค่ะ

    เมื่อคิดแบบนี้ก็ทำให้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา อยากเรียนรู้ก่อนที่จะเขียนเรื่องต่อไปน่ะค่ะ

    ..............

    พระพายจ๊ะ
    จะรออ่านนิยายของพระพายนะ สำหรับเราแล้วการเขียนนิยายยังห่างไกลนัก เพราะแค่เรื่องสั้น (มาก) ยังไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปใส่ไว้ตรงไหนด้วยซ้ำ

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ6 ธันวาคม 2551 เวลา 10:21

    เข้ามาแจ้งผลการรับชมอีกครั้งเจ้าค่ะ

    โดยทั่วไปดูโอเคเจ้าค่ะ ตรงขอบด้านหน้าไม่มีปัญหาแล้ว

    ติดอยู่นิดเดียวตรง หน้าที่เป็นบทกลอน ตัวอักษรที่เป็นบทกลอนดูจะเล็กเกินไป ต้องนั่งเขม้นมอง ส่วนหน้าที่เป็นบทความ และคอมเม้นท์ทุกอัน ...แจ่มแหว่ม


    หมดรายการรายงานผลแล้วก็มาถึงรายการพูดคุย

    ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำด้านบนเจ้าค่ะ แต่ร่างหนึ่งข้าเจ้าไม่มีหรอก แต่เอ ไอ้ที่กำลังเขียนอยู่อาจเรียกว่าร่างหนึ่งก็ได้ ใช่ไหม?

    งั้นข้าเจ้าก็คงต้องเขียนต่อไปเรื่อยๆ ตัวละครแต่ละตัวจะเป็นอย่างไรก็ให้อารมณ์ขณะที่ข้าเจ้าเขียนนั้นพาไป แล้วค่อยมาเกลาใหม่อีกครั้งหลังจากเขียนจบแล้ว ต่างเวลา ต่างอารมณ์ เราจะเปรียบเทียบกันได้เองว่าอันไหนดี อันไหนต้องปรับแก้ ใช่ไหม?

    เอาล่ะ งั้นวันจันทร์ข้าเจ้าจะลุยต่อ ...ส่วนวันนี้ ต้องทำงานก่อน (เดี๋ยวไม่มี 'ไรกิน)


    คารวะ

    ต้นข้าวจ๊ะ
    ไม่ให้อ่านหรอก ... เค้าอาย...!


    -พระพาย-

    ตอบลบ