ห้องพักหมายเลข 510 : ดาดฟ้าตรงข้ามระเบียง (สายลม)
ยามว่าง ยาม(เมื่อ)ต้องการความสงบ ต้องการปลดปล่อยจินตนาการ หรือยามต้องการหลบหนีเรื่องราวบางอย่าง ฉันมักมานั่งที่ระเบียง มองดูต้นไม้พิกลพิการโบกใบหม่นๆ อยู่ไหวๆ ในสายลมที่ผ่านมาหยอกล้อ หากวันใดโชคดีฉันอาจได้นั่งชื่นชมดอกอัปลักษณ์จากความพยายามของบางต้น บางทีฉันก็คิดว่าเจ้าดอกอัปลักษณ์เหล่านั้นก็สวยงามตามแบบฉบับของมัน
Comment : มี 'ยาม' สามคำติดต่อกัน (เหมาะเปิดบริษัทรอปอภอ) การใช้คำซ้ำมักเกิดจากจงใจเน้นย้ำ แต่หากเกิดจากเผอเรอ อาจทอนความงามของประโยค
เมื่อทวนรอบสองขอให้ลองตอบตัวเองว่าเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง
(ส่วนนี้เป็นรายละเอียดปลีกย่อยเข้าไปถึงเรื่องเอาใจใส่รูปประโยคทุกวรรคตอน ความประสานกลมกลืนของประโยคในหนึ่งย่อหน้า)
ฝั่งตรงข้ามของระเบียงเป็นดาดฟ้าของอาคารขนาดสูง 3 ชั้น ทุกครั้งที่ฉันมานั่งตรงระเบียง ไม่เคยมีสักครั้งที่ฉันจะไม่มองบนดาดฟ้านั้น จะด้วยเพราะทำเลอยู่ในรัศมีสายตาหรืออะไรก็แล้วแต่ ทุกครั้งที่มองฉันรู้ว่านั่นคือความตั้งใจ เพราะฉันอยากมอง
บนดาดฟ้านั้นมีพื้นที่แยกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมีกระเบื้องวางระเกะระกะอยู่มุมหนึ่งสี่ห้าแผ่น นอกนั้นว่างโล่งไปจรดขอบทุกด้าน พื้นที่ส่วนที่สองกั้นเป็นคอกด้วยอิฐโปร่ง สูงระดับเอวของคนรูปร่างมาตรฐานโดยทั่วไป ภายในคอกมีขนาดกว้างยาวประมาณ 3 x 6 เมตร มุมหนึ่งวางโต๊ะหินอ่อนที่เก่าคร่ำจนไม่เหลือสีเดิมให้เห็นไว้ชุดหนึ่ง บนโต๊ะและบนเก้าอี้หลากหลายไปด้วยกระถางต้นไม้ มีทั้ง โป๊ยเซียน ชวนชม บานเย็น กระบองเพชร คละเคล้ากันนับสิบกระถาง แต่ก็ยังพอมีพื้นที่ว่างไว้ให้กางสมุดสักเล่ม และให้ใครสักคนหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ ปั้นจินตนาการเรื่อยเปื่อยสารพันลงบนแผ่นกระดาษที่กางอยู่เบื้องหน้า
นอกจากกระถางต้นไม้ที่วางบนชุดม้านั่งหินนั่นแล้ว ตลอดแนวความยาวของคอกด้านหนึ่ง ยังเรียงรายไปด้วยไม้พันธุ์เดียวกัน เริงร่าท้าแดดลมอวดดอกสดสะพรั่งสลับกันไปมาตลอดทั้งปี ฉันเคยคิดเล่นๆ ว่าเจ้าดอกไม้พวกนี้สามัคคีทำงานเป็นทีมเวิร์คได้ยอดเยี่ยม ผสานด้วยการจัดการที่ดียิ่ง เพราะไม่ว่าจะโผล่หน้าไปมองครั้งใด ฉันจะได้เห็นดอกไม้เหล่านั้นในทุกครั้ง ไม่จากต้นใดก็ต้นหนึ่ง
ด้วยมุมพอเหมาะพอดีจากการคำนวณของสมองที่มองการณ์ไกล หรืออาจด้วยความบังเอิญก็แล้วแต่ ยามดวงอาทิตย์เคลื่อนย้ายจากตำแหน่งเหนือศีรษะแค่เพียงชั่วโมงเศษ โต๊ะหินอ่อนตัวนั้นจะอยู่ในรัศมีร่มเงาของอาคารที่ฉันพัก นั่นหมายความว่าตั้งแต่บ่ายโมงเป็นต้นไป โต๊ะหินก็จะอยู่ในทำเล ‘แดดร่มลมตก’ และทำเลที่ว่าจะแผ่ขยายไปยังบริเวณอื่นเรื่อยๆ ตามดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อย จนเมื่อประมาณบ่ายสามโมงก็กินพื้นที่ทั้งหมดบนดาดฟ้า
วันไหนฤกษ์งามยามดี ฉันเคยเห็นชายผิวขาว อายุราวปลายสามสิบคนหนึ่งถือถังน้ำ เดินรดน้ำให้ต้นไม้เสียทีหนึ่ง โดยไม่สนใจว่ายามนั้นจะเป็นเวลาไหน แม้จะเป็นช่วงแดดเปรี้ยงของยามเที่ยงวันก็เถอะ แต่จากประสบการณ์ที่เคยเจอเพื่อนร่วมห้องรดน้ำต้นไม้เวลาอย่างนี้มาเสียบ่อย ฉันเลยได้คิดว่า บางทีต้นไม้เมืองกรุงอาจไม่แยแสเรื่องเวลาเฉกผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองกรุง ก็เป็นได้
Comment : จบย่อหน้างาม ประทบประเทียบเยี่ยงนี้เป็นรสของบทความ (แต่จะให้ดีไม่ควรใช้คำ 'เมืองกรุง' สองครั้งในประโยคเดียว อาจเลี่ยงเป็น 'เฉกผู้คนที่อาศัยร่วมเมืองก็เป็นได้' ไม่แน่ใจนะ แต่นี่คือประเด็นเดียวกับ 'ยาม')
ฤกษ์งามยามดีของชายผิวขาวเจ้าของดาดฟ้าน่าจะมีปีละครั้ง เพราะตั้งแต่ฉันย้ายเข้ามาพักยังห้องหมายเลข 510 แห่งนี้ร่วม 4 ปี ฉันเคยเห็นชายคนนี้มา 3-4 ครั้ง เห็นจะได้
ฉันเคยนึกสงสัยว่าตัวเองจะรู้สึกอย่างไรนะ หากได้นั่งลงบนโต๊ะตัวนั้น ลงมือเขียนกลอนสักบท ท่ามกลางสีเขียวเข้มของใบไม้ สีเขียวอมเหลืองของโป๊ยเซียน สีบานเย็นสมชื่อบนกลีบบางนวลของเจ้าบานเย็น หรือชมพูอ่อนขลิบชมพูเข้มของแม่ชวนชมที่พลิ้วไหวไปตามเส้นสายของริ้วลมยาม พัดผ่าน
เหล่านวลนางอ่อนไหวเหล่านั้นประหนึ่งราวจะมีชีวิตเริงร่ายเย้ายวนอยู่ในสายลมตลอดเวลา
Comment : ประหนึ่ง กับ ราว ความหมายเดียวกัน น่าจะเลือกใช้สักตัว
หากแหงนหน้าขึ้นมองเบื้องบนก็จะพบผืนฟ้ากว้างกว่ากว้าง บางวันมีหมู่เมฆเกี่ยวก้อยลอยลมชักชวนให้ห้วงคิดเยาว์วัยปลดปล่อยจินตนาการ ออกมาโลดแล่นวาดลายเมฆไปตามใจปรารถนา บางครั้งก็นั่งครุ่นคำนึงว่าเมฆเหล่านั้นจะเดินทางไปสิ้นสุดนะ(ณ)จุดไหน
บางวันที่แหงนหน้าขึ้นไปพบเพียงท้องฟ้าโปร่งใสสีฟ้าครามตลอดทั้งผืน ไร้แม้เศษเสี้ยวของก้อนเมฆให้ผืนฟ้ามีรอยมัวหม่น ราวห่มด้วยผืนพรมกำมะหยี่สีนวลตาที่เสกสร้างมาด้วยมืออันนุ่มนวลของคนเบื้องบน เพื่อโอบประคองสรรพสิ่งเบื้องล่างไว้ด้วยความห่วงหาอาทร น่าแปลกที่ยามนั้นสมองซึ่งมักมีเรื่องราวร้อยแปดพันประการมากรุ้ม(กลุ้ม)รุม กลับว่างเปล่าไร้เรื่องราวร้อยรัดอึดอัดใดๆ มากล้ำกราย เฉกเช่นฟ้าเบื้องบนที่ไร้ก้อนเมฆ
เมื่อมายืนอยู่ริมระเบียงอย่างนี้ฉันมักนึกอิจฉาเจ้าของดาดฟ้าฝั่งตรงข้าม ผู้ครอบครองสถานที่สวยงามและโปร่งสบาย หลายครั้งที่ฉันนึกอยากเห็นเขาขึ้นมาเก็บเกี่ยวสุนทรียะแห่งความงามที่เขามี แทนที่จะปล่อยให้มันเลือนหายไปในแสงแดดสายลมอย่างเดียวดาย
และหลายครั้งอีกเช่นกันที่ฉันนึกอยากมีสะพานทอดข้ามจากระเบียงห้อง 510 ไปยังดาดฟ้าฝั่งตรงข้ามที่ และดื่มด่ำในสุนทรียะแห่งความงามนั้นเสียเอง
แต่หากคิดอีกที ฉันก็ได้ชื่นชมมันมากกว่าเจ้าของอยู่แล้วนี่ แค่นี้ก็คงเพียงพอแล้ว.
Comment : ไม่ใช่ภาษาปะกิดนะเจ้าคะ จึงได้ใส่ฟุลสต็อปตอนจบประโยค
โน้ตจากนายช่าง
เป็นแบบฝึกบรรยายใช่ไหมเอ่ย? หากเช่นนั้นนับว่าบทบรรยายบรรลุเป้าหมายแล้ว(คอมเม้นท์เหล่าสหายหนอนหลายท่านบอกว่าเห็นภาพแจ่ม)
หมายเหตุ : เหมียนเดิม
ฮันแน่! จับได้แล้ว นายช่าง ด.ดิน อู้งานจริงๆ ด้วย อย่างงี้มันต้องฟ้องผู้จัดการให้ตัดเงินเดือนเสียให้เข็ด
ตอบลบ'ไมคราวนี้มีขีดนิดเดียวเองล่ะนายช่าง คอมเม้นท์ก็มาแค่จู๊ดจู๋ ถึงขีดน้อยจะหมายความว่าตำหนิน้อยก็เถอะ แต่ข้าเจ้าอยากได้ตำหนิเยอะๆ
ตรงย่อหน้าแรกนั่น ไม่ต้องอ่านทวนหรอกเจ้าค่ะ ตอบได้เลยว่าข้าเจ้าตั้งใจเน้นคำ ตอนแรกยังคิดเลยจะใส่ 'ยาม' หน้าวรรค 'ต้องการปลดปล่อยจินตนาการ' ด้วยดีมั้ย
หากใช้เพราะเผอเรอก็คงไม่ดีแน่นอน แต่หากใช้เพราะตั้งใจเน้นคำ ท่านคิดว่าไง? ---เอ แต่คงไม่ต้องถามก็น่าจะรู้ เห็นท่านขีดออกหมดอย่างนี้ แสดงว่าไม่ดีแน่ ใช่ไหม?
ขอบพระคุณที่กรุณาช่วยขัดขี้กรากขี้ไคลให้ดาดฟ้าฯ เจ้าค่ะ ดูผุดผ่องขึ้นเยอะเลย
+++
เมื่อเช้าข้าเจ้าเสียพลังงานกับระเบียงห้องไปโขเลยเจ้าค่ะ จัดการกวาดเศษดินเศษขยะที่เรี่ยราด ขัดคราบสกปรกที่ฝังอยู่บนพื้น ก็เพื่อนข้าเจ้ามันซื้อต้นไม้มาตั้งไว้ บางกระถางไม่มีจานรอง พอรดน้ำไปทีพวกดินพวกปุ๋ยที่อยู่ในกระถางก็ไหลออกมาทางก้นกระถาง นานวันเข้าเกาะเป็นคราบฝังแน่น กว่าจะขัดจนดูดีขึ้นมาหน่อยเล่นเอาเหนื่อย
เมื่อวานนี้แม่คุณหยุดงาน ข้าเจ้าออกไปทำธุระข้างนอกแป๊บเดียว คุณเธอไปหอบต้นไม้มาจากสวนจตุจักรอีกห้าต้น ตรงระเบียงไม่มีที่จะวางกระถางแล้ว คุณเธอเลยซื้อกระเช้าแบบแขวนมาด้วย ใช้ขอเกี่ยวมทากาวตราช้างแปะไว้กับผนังแล้วนำกระเช้าต้นไม้ไปแขวน มีต้นนึงเป็นต้นหน้าวัว หาที่ลงไม่เจอ คุณเธอก็เอามาตั้งโด่ไว้บนหลังตู้เย็น เอากับเธอสิ!
มีอยู่ครั้ง คิดทีไรขำทุกที ใกล้ถึงวันเกิดเพื่อนคนหนึ่ง เธอคิดจะให้ต้นไม้เป็นของขวัญวันเกิด ก่อนถึงวันเกิดหนึ่งอาทิตย์เธอก็ไปหาต้นไม้ที่สวนฯ(เกรงว่าถ้าไม่ไปวันนั้นวันหลังจะไม่มีเวลา) เห็นต้นลิลลี่ปุ๊บก็โดนใจปั๊บ เลยได้ต้นลิลลี่สีชมพูหวานเจี๊ยบมาต้นหนึ่ง มีดอกบานแฉ่งมาด้วยหนึ่งดอก ดอกตูมที่รอบานอีกสองสามดอก ถามคนขายว่าดอกมันจะบานอยู่ได้นานแค่ไหน
"ดอกลิลลี่มันบานอยู่ได้เป็นเดือนเลยน้อง"
นั่นคือคำตอบของคนขาย เธอหันมายิ้มด้วยความสมมาตร พร้อมด้วยยักคิ้วให้อีกหนึ่งทีถ้าแปลท่าทางเธอออกมาเป็นคำพูดก็คงจะได้ประมาณว่า
"บานได้เป็นเดือน เจ๋งมั้ย ของขวัญคราวนี้ สมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ"
ได้ต้นไม้มาแล้ว จะให้ไปทั้งแบบนั้นก็กระไรอยู่ เลยเดินหาซื้อกระถางกันต่อ ได้กระถางเซรามิกสีชมพูลายดอกไม้ผีเสื้อหวานแหววมาหนึ่งอัน
กลับมาถึงห้องเธอก็นั่งชื่นชมอยู่นั่น พร่ำแต่ว่า "สวยจัง" "สวยนะ" เดินผ่านทีต้องแวะดมกลิ่นที ไม่ทันถึงงานวันเกิดเพื่อน ลิลลี่ผู้น่าสงสารก็เหลือแต่ตอ ทั้งดอกทั้งใบหายเกลี้ยง! เธอเปลี่ยนจากความชื่นชมมาเป็นความสงสัย
"มันตายได้ไง ก็คนขายเขาบอกดอกมันจะบานได้เป็นเดือน?!"
ไม่มีใครให้คำตอบเธอได้ กระถางสีชมพูหวานแหววยังวางอยู่ตรงระเบียงคอยตอกย้ำให้เธอเจ็บใจเล่น และให้ข้าเจ้ามีรอยยิ้มเล็กๆ ทุกครั้งที่เห็น
วันนี้จัดระเบียบระเบียงเห็นมันเข้า เลยนำมาเล่าให้ท่านฟังขำๆ โชคดีที่ตั้งแต่คบกันมาเธอไม่เคยซื้อต้นไม้ให้เป็นของขวัญวันเกิดข้าเจ้าสักที ^^
ขอท่านสำราญกับงานเขียนเจ้าค่ะ
(เผลอแป๊บเดียว จะผ่านวันที่สี่ของวันหยุดอีกแล้ว ข้าเจ้ายังไม่ได้อะไรเลย)
ปล.เรื่องทวิภพ หากท่านมีเวลาว่างวันไหน สำแดงความเห็นให้ฟังกันหน่อยก็ดีค่ะ แต่หากไม่ว่างก็ไม่เป็นไร มีอีกอย่างนึงที่ข้าเจ้าชอบคือ เรื่องราวความรักของพระเอกกับนางเอก 'เรียบง่ายแต่สวยงาม'
คล้อยค่ำสวัสดิ์ขอรับท่านสาย
ตอบลบไม่ได้อู้เลยขอรับเป็นความสัตย์ ซ่อมแซมไปตามปัญญาอันน้อยนิดจะพอกระทำ บางประเด็นที่เห็นว่าหากต่อความก็จะยาวเป็นขบวนรถไฟสุไหงโกลก จึงจำสงบคำไว้ (อย่างประเด็นงานเขียนกับสมุดบันทึก? เห็นทีจะต้องเก็บไว้ประเลงเป็นบทความ ประเด็นน้ำหนักของสารที่สื่อซึ่งออกจะเกินเลยระดับฝึกฝนอย่างเราท่าน ก็คงต้องเก็บไว้ก่อน)
จึงเหลือความยาวเท่าหางอึ่งอย่างที่เห็นนั่นแล
อย่าลืมนะขอร้บ ที่ขีด ๆ คุย ๆ ใช่จะเป็นข้อสรุปว่าถูกต้อง อาจผิดพลาดเสียซ้ำ หวังให้ท่านพินิจอีกรอบ เราแค่แลกเปลี่ยนกัลล์
พูดถึง 'ทวิภพ' เมื่ออ่านจบ ข้าพเจ้าก็อยากจะรีวิวไว้เป็นที่ระลึก ว่าครั้งหนึ่งเคยอ่านงาน 'ทมยันตี' เหมือนท่านขอรับ เป็นครั้งแรก ที่น่าแปลกใจก็คือไอ้คนที่จับแนวโรแมนซ์ทีไรไปได้ไม่เกินสองหน้าสามหน้า
คราวนี้กลับตลุยโดยลื่นไหล
หากนั่งลงวิเคราะห์ที่มาที่ไป อาจพบจังหวะดำเนินเรื่อง สัดส่วนผสมผสานพอเหมาะพอดีของบทบรรยายและบทสนทนาที่ไม่ทำให้ผู้อ่าน(เช่นท่าน)พลิกหน้าผ่านยามปะบทบรรยายเพ้อเจ้อ ไม่ปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไป และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายต่อหลายองค์ประกอบอันกอปรกันขึ้นเป็นเคหาสน์นิยายหนึ่งเรื่อง
ข้าพเจ้ากำลังสงสัยอยู่ว่าการรู้วิเคราะห์ข้อดีข้อเสียข้อคิดสะกิดใจซึ่งได้รับจากนิยายที่อ่าน ก็อาจเป็นแบบฝึกหัดชนิดหนึ่งของผู้ย่ำไปบนหนแห่งอักขระรจนาการ
เพียงข้าพเจ้ายังไม่ยอมลงมือกระทำ เพราะใจอีกด้านคอยร่ำร้องบอกให้ใช้เวลาเขียนนิยาย อย่าไปเขียนอย่างอื่น
เขียนอะไรต่อมิอะไรร้อยแปด ไม่ว่าจะได้มาสักกี่หน้า ก็ยังรู้สึกผิดต่อตัวเองอยู่ดี ผิดที่ไม่ทำสิ่งพึงกระทำ
คงต้อง..เอาเป็นว่ากักเก็บแบบฝึกหัดเหล่านี้ไว้ เมื่อเขียนนิยายจบเรื่อง ค่อยสลับสับเปลี่ยนท่วงจังหวะเป็นฝึกคิดทบทวนข้อดีข้อด้อยของนิยายที่ผ่านตาเสียสักที จากนั้นจึงเริ่มเรื่องต่อไป
ท่านว่าดีไหม?
หรือว่า..ไม่เห็นเป็นไร ใช้เวลาแค่วันสองวันก็คงวิเคราะห์เสร็จ ไม่เห็นจะกินเวลาเขียนนิยายสักเท่าไรเลย ถึงไม่เขียนบทวิเคราะห์ก็เขียนนิยายไม่ได้อยู่ดีเพราะยังคิดไม่ออก เอาเวลาไปเขียนบทวิเคราะห์ยังดีเสียอีกได้จำนวนตัวอักษรมาแทนปล่อยผ่านเปล่าดาย
เอ่..แต่หากทำเช่นนั้น พออ่านนิยายจบอีกเรื่องก็มานั่งเขียนบทวิเคราะห์อีกน่ะสิ?
อิ อิ อิ ไม่มีอะไร..กวนเล่น!
เถอะนะ..แค่ปั่นให้จบสักเรื่องเลือดตาแทบกระเด็นแล้ว เห็นทีต้องเก็บเรื่องอื่นไว้ในลิ้นชักให้หมด เหลือแต่ปั่นนิยายตรงหน้าอย่างเดียวพอ
นะทั่นนะ
คารวะ
ป.ล.เวลาผ่านเร็วนะทั่น..ฝึกเขียนทุกวันนะขอรับ จะมากจะน้อยไม่เป็นไร..อย่าลืม..อย่าลืม..
สวัสดีท่านดินที่เคารพ
ตอบลบวันศุกร์อีกแล้ว พรุ่งนี้ก็ถึงวันทำงาน เป็นไงบ้างอาทิตย์นี้ ก้าวหน้าไปสักกะจึ๋งไหม หรือนั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับที่ ของข้าเจ้าไม่บอกนา น่าอาย... เห็นท่านทิ้ง ปล. ไว้ว่าให้เขียนทุกวันพลันสะดุ้งว้าบใจ แต่มาคิดอีกที คุยกับท่านทุกวันข้าเจ้าก็ได้เขียนทุกวันอยู่แล้วนี่ เหอะๆ จริงไหม?
เอาล่ะ... คุยกับท่านน้อยๆ จะได้มีเวลาเขียนงานเยอะๆ งั้นแค่นี้แหละนะ ต้องขอตัวไปนอนแล้ว อุ๊ย! ไม่ใช่ แฮ่ ไปเขียนหนังสือแล้วเจ้าค่ะ
ครอก....ฟี้.......ค.ร..อ....ก......ฟี้...
ค...ร.....อ........ก..........ฟี้.....