ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีขอรับ
ท่านเองก็คงสัมผัสได้ถึง (คุ้นไหม?) ความรู้สึกว่าเรื่องสั้นนี้เป็นกลุ่มเป็นก้อน หากเป็นดินเหนียวก็ผ่านการบดทุบจนเหนียวแน่น พร้อมนำขึ้นรูปเป็นปฏิมากรรมอลังการต่อไป
สัมผัสที่ว่าคือตัวชี้วัดประเด็นเรื่องสั้นนั้น ๆ ว่าแม่นดีหรือไม่ หากประเด็นไม่ชัดเจน เนื้อหาชักนำออกนอกประเด็น หรือมีประเด็นย่อยเข้ามาซ้อน ทั้งหมดจะเป็นคล้ายเศษกรวดหินที่แทรกเข้ามาในเนื้อดิน ทำให้ทุบอย่างไรก็ยังร่วนซุย
มาตรแม้นประเด็นครั้งนี้ยังเบาอยู่มาก (ดังจะกล่าวต่อไป)(แล้วมันจะวงเล็บมาทำไมฟะ) แต่เพราะท่านได้ปั้นแต่งไว้อย่างเหนียวแน่น ความเป็นกลุ่มเป็นก้อนเดียวที่ชัดเจนพลอยทำให้น้ำหนักโดยรวมไม่เบาเลย (ตรงนี้พิสูจน์คำกล่าวที่ว่า เรื่องอะไรไม่สำคัญเท่าเล่าอย่างไร)
ประเด็นคือ 'น้องสาวเอาคืนพี่ชาย'
เมื่อทุกตัวอักษรนำไปสู่ประเด็น เรื่องสั้นก็สมบูรณ์ ข้าพเจ้ายินดีกับท่านก็เพราะตรงนี้ รอดูอีกสักเรื่องสองเรื่อง หากจับประเด็นยังชัดเจนเช่นนี้ แปลว่าท่านยิงเข้าเป้าตลอดแน่ ซึ่งสหายน้อยของท่านก็พลอยยินดี
ข้าพเจ้าครุ่นคิดหลายตลบกว่าสวมถุงมือคว้าประแจประเลงงานซ่อมเที่ยวนี้
ลองไล่ทีละย่อหน้าเหมือนหนก่อน ๆ แต่ไม่ไหวเพราะมากมายเหลือเกิน จำต้องวางประแจ นั่งเพ่งพินิจ..เอาไงดี..
ที่ต้องนั่งเง็ง ก็เพราะวิธีไล่ย่อหน้าง่ายที่สุดแล้ว ไม่ต้องเรียบเรียงความคิด หากหาวิธีอื่นมีแต่ทำนายช่างกำมะลอมึนงง แต่ขืนใช้วิธีเดิม ดูท่าจะเปลี่ยนเป็นทำท่านงงมึน (เพราะจุดแก้มากเสียเหลือเกิน) ซึ่งผู้น้อยไม่บังควรยินยอมให้เกิดขึ้น
ข้าพเจ้าเลือกใช้วิธีดึงจุดที่เห็นว่าเป็นข้อที่น่านำมาพูดคุยพอเป็นตัวอย่าง ส่วนที่เหลือรบกวนท่านเสาะหาตามอัธยาศัย (หากเห็นคล้อยน่ะนะ)
๑ ภาษาในบทบรรยาย
มีการใช้ประโยคเชิงซ้อน ขยายซ้อนขยายอยู่ทั่วไป ขอท่านย้อนดู 'กล่องเครื่องมือนักหัดเขียน' สตีเฟ่น คิงก์ บอกว่าการขยายแล้วขยายเล่าอยู่ในประโยคเดียวกันมีแต่ทำให้ผู้อ่านสับสน เข้าใจยาก ทางที่ดีควรแยกเป็นสองประโยค
ในอดีตนักประพันธ์นามอุโฆษของสยามประเทศผู้รังสรรค์เจ้ามังฉงายร่ายเพลงทวนปราบศัตรู ประเลงสำนวนโวหารหลอมรวมใจตะละแม่มิ่งเมืองตองอูและแปรไว้ด้วยกัน ท่านเพียงหนึ่งเดียวใช้รูปประโยคมีขยายซ้อนขยายกระฉ่อนทั่วฟ้าสยามวรรณกรรม แต่นั่นคงต้องยกเป็นเรื่องของท่านผู้เลิศแล้วอักขระรจนา
สำหรับเรานักหัดเขียน ผู้น้อยยังเห็นว่าสมควรย่ำไปบนหนทางเรียบง่าย ใช้ประโยคเดี่ยว ตรงไปตรงมา จนกว่าช่ำชอง หลังจากนั้นค่อยเสกสรรปั้นแต่งตามแต่กำลังทักษะ
ขอลองทัศนาตัวอย่างประกอบขะรับ..
“เหอะๆๆ...เหอะๆๆ...คิกๆๆ...”
เสียงหัวเราะเป็นระยะๆ ทำให้คนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก(มุมห้อง)เงยหน้าขึ้นมองพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
“เป็นอะไรเรา?” เสียงสงสัยเอ่ยถามเป็นครั้งที่ 3
“เปล๊า!” เสียงแหลมสูงปฏิเสธปกปิดความจริงเอ่ยตอบเป็นครั้งที่ 3 เช่นกันดังมาจากริมฝีปากอิ่มสีระเรื่อ ใบหน้าหวานบ่งอาการขวยเขินปิดไม่มิดทุกครั้งที่ตอบปฏิเสธ และครั้งนี้ดูท่าอาการเขินจะหนักกว่าทุกคราวเพราะไม่กล้าแม้จะสบตาคู่สนทนา เจ้าหล่อนจึงไม่รู้ว่าชายหนุ่มผิวเข้มที่นั่งอยู่อีกมุมห้องบัดนี้เคลื่อนกายมาอยู่เบื้องหลังเธอ และกำลังชะโงกหน้าเข้ามาอ่านข้อความในโปรแกรม Word(เวิร์ด) ของเครื่องโน้ตบุ๊คที่เธอขะมักเขม้นพิมพ์อยู่เมื่อครู่อันเป็นต้นเหตุของเสียงหัวเราะที่ชายหนุ่มสงสัย
ทิพย์กวีสัมผัสได้ถึงความ(รู้สึก)ผิดปกติทางเบื้องหลังจึงหันไปมอง(มุมห้อง)ยังตำแหน่งที่ชายหนุ่มนั่งพิมพ์งานเมื่อครู่แต่ต้องตกใจจนลนลานเมื่อเห็นร่างสูงที่เคยนั่งอยู่บนโต๊ะไม้ใกล้ๆ กลับเปลี่ยนตำแหน่งมายืนชะโงกมองจอมอนิเตอร์อยู่เหนือตัวเธอเพียงแค่ยื่นมือสัมผัส
ท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ ขอได้วางใจข้าพเจ้าจะไม่ถือเอาเป็นอารมณ์ใดเลย เพียงขอท่านลองอ่านโดยละส่วนที่ข้าพเจ้าขีดทับ หากเห็นว่าได้ความกระชับ ข้าพเจ้าก็ยินดี แต่หากเห็นว่าทำให้เสียรูปภาษา สูญความตั้งใจที่ต้องการสื่อ ข้าพเจ้าก็หาได้คิดน้อยเนื้อต่ำใจอันใด
มีคนเล่าความด้วยภาษากระชับ ใช้ประโยคเดี่ยวตรงไปตรงมาเปี่ยมพลัง ขอท่านลองดูที่คอหอสาม 'บ้านเกิด : แบบเรียนเขียนไทย' ขะรับ
๒ คำฟุ่มเฟือย
ใช้คำฟุ่มเฟือยคือกล่าวมากคำ ทั้งที่กล่าวน้อยคำก็ได้ความ ท่านเห็นด้วยหรือไม่? ข้าพเจ้าปะ 'สัมผัสได้ถึง' อีกครั้งหลังจากระเบียงฝนคราก่อน คิดว่าเป็นคำคุ้นชินของท่าน แต่ขอให้ทบทวนเถิดขะรับ
เป็นธรรมดาแรกฝึกเขียน กว่าเรียบเรียงคำเป็นประโยคแปลงความคิดเป็นตัวอักษร ขอเพียงหมั่นลดทอน ตรวจตราหาคำที่ไม่ก่อความหมาย หรือซ้ำคำอื่นแล้วกำจัดเสีย
๓ บทพูดกับบทบรรยาย ไม่ควรซ้ำความ
เราบอกเล่าด้วยบทบรรยาย หลายครั้งเล่าด้วยบทพูด แต่ไม่ควรบอกเล่าเรื่องราวเดียวกัน ทำให้เรื่องย่ำอยู่กับที่ ไม่ผู้อ่านอาจเข้าใจไปว่าคนเขียนหลงลืม (ลองดูบทบรรยายตอนทิพย์กวีเขียนนิยายไม่จบแล้วเริ่มเรื่องใหม่ และบทพูดพี่ชายย้ำเรื่องนี้อีกที น่าจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง หากเลือกบทบรรยาย พี่ชายน่าจะพูดผ่านแบบละไว้ฐานเข้าใจ)
๔ ประเด็นเบา
ไม่สำคัญดอกขะรับ
ข้าพเจ้ายกเป็นประเด็นทั้งรู้ว่าไม่สำคัญ ก็เพราะไม่สำคัญนี่แลที่สำคัญ สมมุติว่าส่งเรื่องนี้ให้บรรณาธิการประเภทสะท้อนชีวิตสะท้อนสังคมอ่าน พระคุณจะต้องบอกว่าประเด็นเบาโหวง เขียนมาใหม่นะจ๊ะ
คุณลุงฟุลจั้มเขียนเรื่องเด็กน้อยเล่นเก้าอี้ดนตรี ไม่มีอะไรแค่เล่นเก้าอี้ดนตรี ข้าพเจ้าชอบ 'ก็ผมไม่อยากนี่หว่า' หมอนี่เป็นนักเขียนยิว เอาชนชาติตัวเองมาแซว เล่าเรื่องไร้สาระประเภท 'คนเหนียวหนี้' ทวงเท่าไรไม่จ่ายสักที เจ้าคนทวงก็ตะบันทวงจนสุดท้ายเจ้าเหนียวหนี้ยอมจ่าย ประเด็นแค่นั้นเอง
หากส่งสองเรื่องนี้ให้พ่อคุณบรรณาธิการสะท้อนสังคมสะท้อนชีวิต แน่ล่ะคำตอบเหมียนเดิม
ที่มาของคำกล่าว 'ประเด็นเบา' คือ ผิดคน
เด็กน้อยเล่นเก้าอี้ดนตรี จะมีอะไรให้พวกผู้ใหญ่แก่แดดลมอย่างเราท่านได้ขบคิดนักหนา แต่คุณลุงฟุลจั้มแกทำได้ อ่านแล้วอารมณ์ดี ชวนคิดว่าหากใช้ตักของแต่ละคนแทนเก้าอี้จะเป็นอย่างไร ส่วนเจ้า 'คนเหนียวหนี้' นั่น ไม่ได้แง่คิดอะไรเลย แต่ขำกลิ้ง!
ประเด็นไม่ใช่หนักหรือเบา แต่อยู่ที่ เล่าอย่างไร?
จุดอ่อนของ 'สองพี่น้อง..' อยู่ตรงนี้
ตอนจบน้องสาวจะเอาคืนพี่ชาย จะต้องเป็นสถานการณ์ที่ทำให้พี่ชายงุนงง จึงจะสมใจน้องสาว (ซึ่งผู้เขียนจะต้องสร้างขึ้นมา) และพี่ชายจะงงเป็นไก่ตาแตกก็เมื่อน้องสาวไปรู้ความลับโดยคาดไม่ถึง (หากปิดคนอ่านได้ยิ่งดี)(แน่ล่ะ..เฉลยตอนจบ)
เรียกว่าจุดอ่อน แต่หาใช่จุดด้อยอันใด เพียงข้าพเจ้าคิดไปว่าหากปรับแต่งอีกสักนิดจะทำให้เรื่องเข้มข้นขึ้น
เรื่องเล่าสนองความต้องการอรรถรสหลากหลาย ไม่จำเป็นต้องเพื่อชีวิตจ๋า เขียนอะไรก็ต้องมีแง่คิดไปเสียหมด มีผู้อ่านอยู่มากที่อ่านเพื่อบันเทิงเริงรมณ์ ผู้อ่านแนวเคร่งเครียดก็ต้องมีบ้างวันเบา ๆ ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกเรื่องเขียนเป็นเรื่องสั้นได้ ขึ้นกับว่าจะเล่าอย่างไรให้สาสมใจนี่สิ..กลุ้มจริง!
สรุป :
เล่าลื่นไหล บทสนทนาเป็นธรรมชาติ (ตินิดก็อิตรงบทเลิฟซีนนั่น..ช่างจำ! หากยกกระดาษขึ้นอ่านยังไม่ว่าไร ชมหน่อย นั่นเป็นบทบรรยายงามสุดในเรื่อง) ดำเนินเรื่อง คุมประเด็น อารมณ์เรื่องเด่นชัด เป็นเรื่องสั้นฝึกเขียนที่ยอดเยี่ยมขอรับ ให้คะแนนสักเก้าครึ่ง พลาดที่ภาษาในบทบรรยายจึงขอหักออกแปด..แฮ่!
หวังท่านพินิจจากตัวอย่างแล้วลองมองหาส่วนที่เหลือ
รอคอยงานฝึกเขียนชิ้นต่อไปด้วยความระทึกในดวงหทัยพลันขะรับ
คารวะ
สวัสดีเจ้าค่ะท่านดิลล์ที่เคารพรัก
ตอบลบขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งกับข้อชี้แนะต่างๆ ที่มีให้
เมื่อประมาณสิบโมงข้าพเจ้านั่งละเอียดอ่านพร้อมครุ่นคิดตามที่ท่านแนะนำและก็ได้นั่งพยักหน้าหงึกๆ ตาม ตั้งใจไว้ว่าว่างเวลาอารมณ์จะปะเลงตอบท่านสักกระบวนความ ถึงวินาทีนี้ความตั้งใจนั้นต้องมีอันเป็นหมัน
พี่ชายเพิ่งโทรมาบอกเมื่อสักครู่ให้ข้าพเจ้าเก็บของกลับบ้าน แม่ไม่สบายพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ข้าพเจ้าจะกลับบ้านพร้อมพี่ชายอีกสองสามคน(ไม่แน่ใจว่าพี่ที่อยู่ทางนี้จะกลับพร้อมกันหมดหรือเปล่า?) ประมาณบ่ายสามพี่ชายที่พักอยู่ปราจีนฯคงเดินทางมาถึงและเราจะออกเดินทางกันทันที
ข้าพเจ้าลางานตั้งแต่บ่ายสองเพื่อกลับห้องไปเก็บข้าวของ
ไม่รู้จะได้กลับมาทักทายท่านอีกทีเมื่อไหร่ อาจเป็นอาทิตย์ สองสามอาทิตย์ หรือมากกว่านั้น
แต่ยังไงก็จะกลับมา
หากปลายอาทิตย์ข้าพเจ้ายังไม่กลับท่านอย่าอู้นะเจ้าคะ เอางานไปลงไว้ข้าพเจ้ากลับมาเมื่อไหร่จะตามไปอ่าน(ไม่อย่างนั้นได้เจอค้อนหลายขวับแน่ ฮึ!)
ขอท่านและข้าพเจ้าผ่านช่วงเวลาแย่ๆในชีวิตไปได้ด้วยดี
แล้วเจอกันเมื่อฟ้าทองผ่องอำไพ
สายลม
กำลังใจแม่ย่อมดีขึ้นอีกมากมายเมื่อลูก ๆ พร้อมใจกันเช่นนี้
ตอบลบดูแลแม่เต็มกำลังนะขอรับ การงานเงินทองเป็นสิ่งมาทีหลัง แม่คือทั้งหมดของเรา
แล้วเจอกันขอรับ