'..ในโลกไฮเทคทุกอย่างเล็กลง..แต่รักฉันคงยิ่งใหญ่เหมือนเดิม..อยากมีฮาร์ดดิสต์ลงโปรแกรมเสริม..เพิ่มแรม..' (เสียงริงก์โทน)
มือคลำเปะปะตามเสียง ฉวยโนเกีย 6630 ขึ้นแนบหูทั้งยังหลับตา
"โหล..บรึมสะกรำเปรย กรอมสะดรึมดึ๋ยด๊วบด๊วบ"
"จูนี่เรานะ"
"อ้าว! เพ่เบี้ยว!" ไอ้จูตาถ่างรีบผงกหัวลุกนั่ง "มีไร?"
"มาบ้านเราหน่อยเดะมีเรื่องวานหน่อย"
"วานเจ๊หน่อยพี่ก็โทรฯ บอกเจ๊หน่อยเด่" ไอ้จูยิ้มยียวนยักคิ้วข้างขวาให้ตัวเองหนึ่งที "ไม่เห็นต้องบอกผมเลย"
"โทรฯ แล้วเจ๊หน่อยไม่ว่าง เลยต้องวานนายไปวานเจ๊หน่อยให้หน่อย" เสียงต้นสายตามน้ำหน้าตาเฉย (เสียงหน้าตาเฉยเป็นอย่างไรน่ะรึ? เหอะนาอ่านไปตามน้ำละกัลล์)
ไอ้จูตาเหลือกเจอย้อนมุกไม่คาดฝัน เผลอแหย่นิ้วเข้าปากก่อนส่งเสียง "โตะลงไปบ้างเพ่เหรอบ้างเจ๊ะหน่อย?"
"บ้านเราเดะ" เสียงต้นสายยังราบเรียบไร้อารมณ์ "รีบมาล่ะ"
"ครักเพ่" ไอ้จูรับคำ
"ทำไมเสียงนายอู้อี้อย่างนั้นล่ะจู"
"เปล่าไม่มีอะไร" รีบชักนิ้วออกจากปาก "เดี๋ยวผมไป..เจอกัลล์"
ใช้เวลาไม่กี่อึดใจไอ้จูก็ถึงชาเล่ท์ก้นซอย เตะขาตั้งมอร์เตอร์ไซค์ประกอบเอง ปล่อยยืนคอพับ ตะเกียบหน้ายาวเป็นเสาชิงช้าวัดสุทัศน์ แฮนด์สูงลิ่วเวลาขี่เหมือนชิมแปนซีโหนกิ่งไม้ แค่ผลักบานประตูยังไม่ก้าวเท้าเข้าไป ไอ้จูต้องอ้าปากค้าง..ค้างจนแมลงวันตัวผู้ตัวหนึ่งบินมาวนเวียน แต่แล้วต้องเอาปีกอุดจมูกร่วงผล็อย
"เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!?" ไอ้จูยืนตะลึงลาน
ชาเลท์สไตล์ลอฟฟ์โล่ง ๆ ที่เคยรกด้วยภาพคนเหล็กภาพตัวการ์ตูนบนขาหยั่งวางตรงโน้นตรงนี้บัดนี้ถูกยึดครองด้วยกองทัพทารกทั้งพอเดินได้ทั้งยังคลานต้วมเตี้ยมทั้งยังนอนชูสองขา เสียงร้องงอแงจอแจลั่น รอบห้องเพ้นท์สีสดใส รูปท้องฟ้า รูปก้อนเมฆ
เจ้าของชาเลท์เดินออกมาต้อนรับมีเจ้าตัวน้อยนั่งกรวมคอใช้สองมือพยุงไว้
"ไงจู" เขย่าตัวเป็นม้ากำลังควบ "แจ๋วมั้ย?"
ไอ้จูยังอ้าปากค้างกวาดตามองรอบห้อง ปากขยับช้า ๆ "เกิดอะไรขึ้น..พี่เบี้ยว?"
"เราจะเปิดเนอร์สเซอรี่"
"พี่ไม่วาดภาพประกอบแล้วเรอะ?" ไอ้จูถามทั้งยังตาค้าง
"วาดภาพประกอบรายได้แค่พอปากพอท้อง เราอยากทำอะไรที่มั่นคงสักที"
"พี่ไม่ชอบธุรกิจนี่นา ไม่อยากวุ่นวายกับคนมาก ๆ พี่บอกเอง" ไอ้จูหน้าเคร่งเครียด "เนอร์สเซอรี่ทำไมต้องปิดไฟในบ้านด้วย"
"นายถอดแว่นเสียก่อนเป็นไร"
ไอ้จูถอดแว่นอันจิ๋วยิ้มหน้าเจื่อน เจ้าของเนอร์เซอรี่ป้ายแดงวางเด็กลง เจ้าตัวน้อยแลบลิ้นให้จูแล้วคลานไปเล่นกับพรรคพวก
"ความคิดเป็นเหมือนสายน้ำ ต้องเลื่อนไหลไป หากหยุดนิ่งอยู่กับความคิดเดียวความเชื่อเดิม ๆ มีแต่รอวันเน่าเสีย" เบี้ยวเดินไปทางเคาน์เตอร์ สหายผู้น้องเดินตาม
"พี่ไม่วาดภาพประกอบแล้วเรอะ?" ไอ้จูถามซ้ำ
"วาด" เบี้ยวตอบ "งานเราน้อย วาดแป๊บเดียวก็เสร็จ"
"แล้วนี่.."
"มีเรื่องวานนายหน่อย"
เบี้ยวหยิบป้ายพลาสติกลูกฟูกหลากสีสดใสจากเคาน์เตอร์ ไอ้จูรับมาพินิจพิจารณา รูปสกรีนบ้านดินน้ำมันบ้างเป็นรูปต้นไม้ บ้างเป็นรูปไดโนเสาร์ บ้างเป็นเครื่องบิน มีเด็ก ๆ ปีนเล่น ตัวหนังสือลายการ์ตูน 'บ้านเด็ก..เนอร์สเซอรี่ธรรมดาที่..ไม่ธรรมดา'
"วานนายเอาไปติดที่บางแคร์ซอย 5 ให้หน่อย"
ไอ้จูหันขวับ จ้องเบี้ยวเหมือนเห็นพิซซ่าหน้าทะเลเพิ่งออกจากเตา
"คุณปิ๊กเค้ามีหลานตัวเล็ก ๆ ไม่แน่อาจอยากให้เราดูแล"
"แต่.."
"นายเปลี่ยนใจเราไม่ได้หรอก" เบี้ยวขึงขัง "เป็นจิ๊กโก๋ในซอยมานาน เราเบื่อแระ เราอยากสร้างฐานะสักที คุณปิ๊กมีงานมีการมั่นคง นายดูเราสิ วาดภาพประกอบเดือนละสองชิ้น ไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่ ยังไม่มีเงินเหลือสักเดือน สาวที่ไหนจะมาสนใจ.."
"แต่.."
"เรารู้ว่าเราไม่ถนัดเรื่องธุรกิจ ต่อรองก็ไม่เป็น เก็บเงินก็ไม่ได้ ทุกอย่างต้องมีเริ่มต้น หากไม่ลองนับหนึ่งจะนับถึงร้อยได้ไง.."
"แต่.."
"นายไม่ต้องมาโน้มน้าว เราตัดสินใจแล้ว เราจะทำให้คุณปิ๊กเห็นว่าความรักที่ยิ่งใหญ่นั้นสามารถเอาชนะทุกอุปสรรค เราจะสร้างฐานะมั่นคงให้คุณปิ๊กเห็นให้จงได้"
"แต่.."
"พอเลย.." เบี้ยวเอ่ยได้แค่นั้นต้องหุบปากเพราะไอ้จูเอามืออุดไว้
"ผมแค่จะบอกพี่ว่า.." มันชี้ไปทางพวกเด็ก ๆ "ไอ้เด็กบ้านั่นคลานไปขี้ไว้ตรงนั้น"
จูรับป้ายจากเบี้ยวด้วยสีหน้างุนงง พี่เบี้ยวคนที่มันเคยเคารพเทิดทูนหายไปอยู่ที่ไหน? หากเบี้ยวหันมาเอาดีทางพี่เลี้ยงเด็ก แล้วใครจะดูแลซอยตำแย ใครจะมาเดินแกว่งแขนอาด ๆ ในซอยเป็นเพื่อนมัน พวกสมุนที่เบี้ยวเคยสยบมิเห่ากันขรมซอยรึ! แม่เคยบอก 'ความรักทำให้คนตาบอด' หรือพี่เบี้ยวกำลังตาบอด ไอ้จูคิดไปปีนเสาไฟผูกป้ายบ้านเด็กเนอร์สเซอรี่ไป "เอาไอ้จ้อยมาฝากเนอร์สเซอรี่เราก็ได้..สำหรับนายเราไม่คิดตังค์" เบี้ยวตะโกนบอกตอนไอ้จูโดนัทล้อหลังออกจากเนอร์สเซอรี่บ้าบอนั่น
แม้นไม่เห็นด้วยแต่ก็ดีกว่าปล่อยไอ้จ้อยปั่นซาเล้งชนโน่นชนนี่ไปทั่วบ้าน สองสามวันต่อมาจูเอาไอ้จ้อยขี่หลังไปเนอร์สเซอรี่ธรรมดา..ที่ไม่ธรรมดา
เจ้าของเนอร์สเซอรี่สีลูกกวาดยิ้มต้อนรับเนือย ๆ
"วันนี้ทำไมเงียบจัง?" ไอ้จูถาม
"อืมม์..บ้านเราก็เงียบอย่างนี้เป็นธรรมดา" เบี้ยวยิ้มตอบ
"ว่าจะเอาไอ้จ้อยมาฝาก" จูผลักบานประตู "อ้าว!"
ไอ้จูอ้าปากค้าง..ค้างจนแมลงวันตัวผู้ตัวเดิมบินมาเวียนวน แต่คราวนี้รู้ไต๋ มันผูกผ้าคาดจมูกมาด้วย
หากไม่เคยเห็นผนังสีฟ้ามีปุยเมฆขาวลอยฟ่องมาก่อน จะต้องคิดว่ามาเฟียยกพวกมาถล่มกัน ไม่ก็พวกฉนวนกาซ่าย้ายสมรภูมิมารบกันที่นี่ ข้าวของเละเทะไม่เหลือชิ้นดี จานสีหลอดสีกระจายทั่วทิศทาง ขาหยั่งนอนตะแคงชูขาเค้เก้เหมือนเมาไม่สร่าง ยังไม่รวมสารพัดกลิ่นชวนคลื่นเหียน ไอ้จูรีบปิดประตูถอยออกมา
"เราคิดว่าจะไม่สร้างตัวแล้วล่ะ" เบี้ยวบอก
ไอ้จูนิ่งเงียบส่วนไอ้จ้อยหลานรักบนหลังกำลังใช้มือแหวกผมหาเหาให้ เบี้ยวทอดสายตาไปตามถนน
"บางที่ความรักยิ่งใหญ่คงไม่ใช่ละทิ้งตัวตน เราเป็นคนเขียนภาพประกอบ เราก็คงทำได้เพียงเขียนภาพประกอบ หากคุณปิ๊กไม่รักที่เราเขียนภาพประกอบ เราก็ควรทำใจยอมรับ"
"หยั่งงี้พี่เสร็จไอ้ป๊อดแน่" ไอ้จูปลดไอ้จ้อยลงพื้นดูเหมือนมันจะแหวกผมจนหัวฟู
"เราจะตั้งใจเขียนภาพ ไม่แน่อาจเขียนการ์ตูนเรื่องยาวสักเรื่องเผื่อขายได้ ยังไงก็ดีกว่าขี่ช็อปเปอร์เข้า ๆ ออก ๆ ซอยไปวัน ๆ อย่างไอ้ป๊อด"
"ไม่อย่างนั้นน่ะสิเพ่" ไอ้จูหน้าสลด
"ไม่ยังไง?" เบี้ยวถาม
"ผมถามมาแล้ว..ไอ้ป๊อดมันเป็นตำรวจ"
เบี้ยวคอตกแขนตกเหมือนคนไข้ไอซียูช็อคน้ำเกลือ ชีพจรเดินตรงแหน่ว ภาพใบหน้าแสนหวาน รอยยิ้มเปิ่น ๆ ของคุณปิ๊กหลุดลอยไปบนท้องฟ้า ลอยไปไกลแสนไกลจนเกินไขว่คว้า (เห็นจะต้องจบแค่นี้ก่อนล่ะ ขืนเขียนต่อคนเขียนพานน้ำตาไหลพราก..ดูจะไม่เข้าท่า..แล้วพบกันใหม่ในบางแคร์ซอย 5 ของพี่ทั่นเจ๊นกซารัญญ่า..น้า...)
OOO
ซิทคอมเล็ก ๆ : บางแคร์ซอย 5 ตอน : กรี๊ด...ด
โครงการร่วม saranya_นก vs ธุลีดิน ha ha... เล็ก ๆ จิ๋ว ๆ
ภาพประกอบ : echiedhi.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น