ว่าด้วยสยามยุทธภพสวัสดิ์ขอรับท่านสายที่เคารพเทอดทูนบูชา
ขอบคุณสำหรับหัวเรื่องชักชวนสนทนา ทีแรกคิดเก็บไว้ให้พ้นช่วงเตรียมฝนกระบี่ แต่ฉุกคิดขึ้นว่าไหน ๆ ถึงวันนี้ ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย นั่งคุยกะท่านหัวข้อ 'ว่าด้วยสยามยุทธภพ' ก็คงเป็นการดีเผื่อกองขี้เลื่อยจะได้รับกระตุ้น ผุดอะไรบางอย่างออกมาบ้าง
เช่นเดียวกับทุกครั้ง
ก่อนต่อปุจฉาท่านผู้น้อยต้องล้วงเอาเชี่ยนหมากอักษรที่ท่านแหมะไว้มานั่งพินิจพิจารณา จากนั้นเข้าสมาบัติ เอาปฐมญาณเป็นฐาน ทุติยญาณเป็นลำต้น แลตติยญาณเป็นปลายยอด ยังมีรูปฌาณเป็นเอก อรูปฌาณเป็นโท บ่นปากบริกรรมอีกสักสองสามกถา กว่าจับเค้าว่าท่านถามอะไรไว้บ้าง
เป็นเพราะทุกครั้งล้วนยิงแบบออโตเมติก มาเป็นชุดจนผู้น้อยรับกระสุนแทบไม่ทัน
คำถามท่านตรงกระด-อ-งใจนัก (คำนี้ศิษย์พี่ท่านอ้ายมักคักคัก) ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งข้าพเจ้าเคยพยายามหาคำตอบให้ตัวเองเมื่อครั้งแรกจับกระบี่กวัดแกว่งสำแดงเคล็ดวิชาปาทังก้าโดดปลายข้าว หวังสร้างชื่อระบือสยามยุทธภพ
อ่านมาน้อย..มิพักกล่าวถึงเลียดก๊ก สามก๊ก ความรักในหอแดง กำลังภายในยุคหลัง ๆ กระทั่ง 'มังกรหยก' ที่ดังกระฉ่อนข้ามฟ้าบูรพา ข้าพเจ้าก็ไม่เคยแม้ผ่านขี้ตา มีอยู่บ้างงานยุคหลังของท่านธรรมดาดั่งทองกิมย้ง คือกระบี่เย้ยยุทธจักร นั่นเป็นเพราะเคยดูหนัง ติดใจเพลงและรักชอบหลินชิงเสียเป็นนักหนา จึงได้สัมผัสลีลาสำนวนจับแล้ววางไม่ลงของท่าน รวมกับเล่มบาง ๆ ของท่านพญามังกรโบราณโก้วเล้งอีกไม่กี่เรื่อง เลือกอ่านเฉพาะเล่มสองเล่มจบ เนื่องเพราะอ่านหนังสือช้า ช้าเป็นที่สุด กับเจ็ดแปดเล่มสิบเล่มจบจึงไม่เหมาะกับเต่าน้อยด้วยประการทั้งปวง
ความรู้ภาษาจีนแค่เจ็กหนอซา มีวัตถุดิบเพียงกล่าวมาข้างต้น ไฉนคิดการใหญ่อาจหาญเขียนนิยายกำลังภายใน?
เป็นเพราะหลงรักสำเนียงภาษาหัวปักหัวปำ โดยเฉพาะท่วงทำนองลีลาภาษาของท่านพญามังกรโบราณ (และต้องแปลโดยมังกรคู่ น.นพรัตน์ เหมือนคู่บุญ สำนวนแปลขับพลังอักษรพญามังกรเจิดจ้าอลังการถึงที่สุด)
ท่านโก้วเล้งใช้สำนึกกวีสอดร้อยถ้อยภาษา หยดเลือดที่เคยสาดนองยุทธภพกลายเป็นบุปผาโลหิตคลี่กระจาย กระบี่ที่เคยซุกคมในฝักกลับเก็บซ่อนอยู่ที่ใจ
ครั้งหนึ่งในกลิ่นร่ำน้ำข้าวหมักรำไร สหายเที่ยงแท้ปรือตาส่งสำนวนล้อสำเนียงโดยสำคัญตนไปว่าคือจอมยุทธ์กรุ้มกริ่มทิ้งความหอมชอลิ่วเฮียง
"สหายชมชอบนิยายกำลังภายใน?"
ข้าพเจ้าพยักหน้าตอบโดยมือยังสาละวนอยู่กับวารีกระด้างเปลือยในภาชนะรับลมอ่อน
"ไยสหายจึงนิยมชมชอบกำลังภายใน?" จอมยุทธ์ตาเยิ้มถามสืบไป
"ห้าประการ" ข้าพเจ้าตอบ
ทิ้งความหอมริมขวดสุราเอนหลังคอยฟัง
"เนื่องเพราะกำลังภายในมีคุณธรรมน้ำมิตร" จอมยุทธ์หนุ่ม (ตอนปลาย) ผงกศีรษะ คล้ายพึงพอใจ ข้าพเจ้ากล่าวต่อ
"สำนวนภาษากระชับเหมือนเพลงกระบี่ที่ฉับไว" ข้าพเจ้าไม่ได้เหลือบมอง ด้วยน้ำอำมฤตในแก้วบังตา จากนั้นกล่าวอีกว่า
"เพราะกำลังภายในมีความรัก" จอมยุทธ์หนุ่มส่งประกายตาเหลือบมองโฉมงามนั่งข้าง
"มีปรัชญาชีวิต" ข้าพเจ้ากล่าว "และกำลังภายในมีบทกวี"
ทิ้งความหอมแสดงสีหน้าพึงพอใจ ข้าพเจ้าเองหาได้มั่นใจว่าได้กล่าวออกไปหมดสิ้นกระทงความหรือไม่ อาจยังมีอีกบางประการหลงเหลือ เพียงนั่นคือทั้งหมดที่คิดได้ในช่วงการเดินทางผ่านวารีกระด้างเปลือยจากปริ่มปากถึงก้นแก้ว
มาตรแม้นมีเพียงห้าข้อ แต่ทั้งหมดนี้ย่อมควรค่าที่จะเขียนถึง..หรือมิใช่?
แต่จะเขียนเยี่ยงไร?
วรรณกรรมย่อมเกิดจากราก หากไร้รากก็คงมิต่างกาฝากแปลกปลอมที่หวังเพียงเลื้อยพันยอดไม้ใหญ่ หาความงามหรือประโยชน์ใดมิมีเลย
ที่ข้าพเจ้ามีคือ 'ใจรักสำนวนภาษา' ที่ไม่มีคือความรู้ประวัติศาสตร์ชนชาติจีน สภาพสังคม สภาพชีวิต วิธีคิด ความรู้ภาษาจีน วรรณคดีจีน ด้อยกระทั่งประสบอ่านนิยายกำลังภายในยุคเก่าดังเรียนไว้ข้างต้น (ดูเหมือนมีเพียงข้อเดียวที่เหลือล้วนไม่มีเสียสิ้น)
เป็นความจริงอย่างยิ่ง คนผู้หนึ่งหากฝักใฝ่หาความรู้ทางใดทางหนึ่งด้วยใจแน่วแน่ ย่อมมีวันบรรลุเอกทัตคะในสักวัน
เพียงข้าพเจ้าตระหนักความจริงอีกประการหนึ่ง
เราไม่มีวันซึมซับความเข้าใจถึงรากเหง้าหากมิใช่ศึกษาด้วยใช้ชีวิตคลุกคลี หากฝืนกระทำก็คงไม่ต่างฝรั่งสวมชฎาบรรจงพนมมือไหว้ด้วยกริยาอ่อนโยน มองอย่างไรยังคงแข็งเป็นตอไม้ คิดฝึกท่วงท่าอย่างไทยยังคงต้องใช้ชีวิต ศึกษาวิธีคิดอย่างไทย จนกว่าพบวิธีไหว้จากใจ
ฉันใด..ฉันนั้น..
คิดเขียนกำลังภายในที่เป็นกำลังภายในแท้ สำหรับผู้ไม่เคยใช้ชีวิตคลุกคลีวิถีจีนย่อมไม่ต่างเข็นกะลาขึ้นภูเขางมเหาในมหาสมุทร (ใช่หนทางถูกปิดตายเสียทีเดียว ทางออกยังพอมีอยู่ เพียงต้องใช้วิริยะหนักเอาการ ข้าพเจ้ายังหวังให้จอมยุทธ์สยามที่กำลังมานะบุกบั่นมาบนเส้นทางบรรลุเป้าหมายสมความตั้งใจ)
นิยายกำลังภายในเริ่มจากบันทึกอิงพงศาวดาร บันทึกประวัติศาสตร์ ค่อย ๆ กลายเป็นอาจหาญทะยานฟ้า เสริมเรื่องราวพิสดารพันลึก ขยายวงกว้างถึงการต่อสู้ของเทพ-มาร
ท่านกิมย้งดำเนินเรื่องอิงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ คงไม่ต่างนิยายอิงประวัติศาสตร์ทางบ้านเราที่ยุคหนึ่งเคยได้รับความนิยมสูงสุด
กระทั่งพญามังกรโบราณค้นหาหนทางใหม่ เคลื่อนย้ายสถานที่ประลองกระบี่ไปต่อสู้ในจิตใจผู้คน
ทุกวันนี้การค้นหายังคงดำเนินไป
ข้าพเจ้าเองหาได้คิดข้องแวะเกินเลยฐานะผู้อ่าน ด้วยเจียมตนว่าไม่มีปัญญาเขียนแน่ เพียงอาศัยสิ่งเดียวที่มี คือ 'รักสำนวนภาษา' ประดุจพกพากระบี่เล่มเดียวออกท่องยุทธภพ
ยุทธภพที่ข้าพเจ้าผาดโผน กำจัดเหล่าร้าย ผดุงคุณธรรม ปกป้องโฉมงาม ย่อมไม่มีสำนักบู๊ตึ๊ง เส้าหลิน ง้อไบ๊ อาจเป็นโลกวิญญาณ โลกอดีตที่ยากจำแนกแยกแยะตำแหน่ง หรือโลกต่างมิติที่ความดีความชั่วยังไม่แยกจากกัน ผู้คนไม่ใช้ชื่อแซ่ แต่เป็นฉายา
หลังจบ 'กระบี่ทลายฟ้า' ข้าพเจ้าซุกกระบี่คืนฝัก ไม่อาจผาดโผนต่อไป เนื่องเพราะเกิดคำถามขึ้นภายในใจ
การต่อสู้ระหว่างเทพ-มารมีมากจนเกินไปแล้ว แนวทางเทอดคุณธรรมน้ำมิตร ต่อสู้กับจิตสำนึกภายในใจผู้คนเล่าพญามังกรโบราณได้นำพามาจนถึงขีดสุด ตัวท่านเองยังต้องค้นหาแนวทางใหม่
หากข้าพเจ้าย่ำเดินไปบนหนทางเดิม ๆ คงมิต่างสวมหนวดเคราปลอม แต่งองค์ทรงเครื่องเป็นงิ้วจำอวดไปตลอดชีวิตขีดเขียน (ดังท่านตั้งข้อสังเกต) เช่นนั้นวันเวลาที่ใช้ประเลงอักษรจะมีความหมายใด?
มือกระบี่บ้านนอกต๊อกต๋อยเยี่ยงข้าพเจ้าสมควรเดินไปทิศทางใด?
ทิศทางที่เป็นของตัวเอง ทิศทางที่มีโฉมงามคอยท่า ทิศทางที่เหล่าจอมยุทธ์ใช่เพียงสะบัดปลายกระบี่สังหารผลาญชีวิตกันเป็นผักปลา โลหิตเนืองนองย้อมกลีบบุปผาเกลื่อนกำจาย ทิศทางที่ผู้คนไม่แขวนชีวิตไว้กับบุญคุณความแค้น
บทสนทนา, ฉากและเหตุการณ์เยี่ยงไรจึงไปพ้นเงาครอบงำที่เหล่าผู้กล้าเลิศยุทธ์ได้รังสรรค์ไว้ในอดีต ?
อย่าว่าแต่เมื่อคำนึงถึงรายละเอียดยากหลีกเลี่ยงความเป็นจีน ไม่ว่าอาหารว่างสักคำ พู่กันสักเล่มกระดาษสักแผ่น กระทั่งเครื่องประทินโฉมของคณิกาเลื่องชื่อจะต้องบรรยายเยี่ยงไร?
ข้าพเจ้าไม่อาจให้คำตอบตัวเอง ถึงวันนี้กระบี่ทื่อ ๆ จึงยังซุกอยู่ในฝัก แม้คิดนำออกมาฝนมาลับยังชักไม่ออก เช้านี้วันนัดประลอง ได้แต่ปล่อยตามชะตาฟ้าลิขิตแล้ว ●
สายน้ำไหล ใจคนนิ่งภวังค์
เก้าโมงกว่าสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านดิลล์ที่สักการะบูชา
ตอบลบไหนๆ วันนี้ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะทำอะไรดี นั่งคุยกับท่านดูจะน่าพิศมัยกว่านอนกลิ้งไปกลิ้งมา ลุกขึ้นมาเดินวนเวียน แล้วก็กลับไปนอนกลิ้งต่อ
ตอนนี้ข้าพเจ้ายังอยู่ห้องสหาย มันทิ้งข้าพเจ้าออกไปทำงานตั้งแต่หกโมงกว่า ปล่อยให้ข้าพเจ้านอนน้ำลายยืดอยู่คนเดียว นี่ก็ยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟัน แต่ท่านไม่ต้องห่วง และไม่ต้องแอบเอามืออุดจมูก เพราะข้าพเจ้าเคี้ยวเด็นทีนดับกลิ่นปากแล้ว (ฮา)
ท่านอาจสงสัย อยู่คนเดียวน่าจะสงบ เงียบ สงัด เหมาะกับการขีดๆ เขียนๆ แล้วไยต้องเอาแต่นอนแถกไปแถกมา ลุกขึ้นมาขีดโน่นเขียนนี่เข้าเซ่ ข้าพเจ้าก็จะบอกว่า ใช่! บรรยากาศมันน่าเขียนโน่นเขียนนี่มั่กๆ
ท่านเคยอยู่ในที่ๆ ดูจะวังเวงแต่ไม่วังเวงไหม?
นั่นแหละ ไม่มีเสียงมนุษย์มนา ไม่มีเสียงรถรา ไม่มีเสียงตลาดยามเช้า ไม่มีเสียงประกาศจากลำโพงขยายเสียงต่างๆ
ที่ห้องข้าพเจ้านะ นอกจากตลาดตอนเช้าที่เคยเขียนในซี่รี่ส์ห้องพักแล้ว นั่งๆ อยู่ยังได้ยินเสียงรถขายเงาะมั่ง ขายมังคุดมั่ง ทุเรียนก็มี แล้วแต่ช่วงนั้นจะเป็นฤดูกาลของอะไร วันดีคืนดียังได้ยินเสียงซ้อมเชิดสิงโตอีกต่างหาก(อ้อ ยังไม่เคยบอกใช่ไหมว่าเยื้องไปจากห้องไม่เท่าไหร่ จะมีศาลเจ้าเล็กๆ อยู่)
บางวันนั่งเคลิ้มอยู่ในจินตนาการ ล่องลอยไปบนปุยเมฆ สะดุ้งตกใจหล่นตุ๊บตกก้อนเมฆ เพราะเสียงออดโรงเรียนที่อยู่ถัดไปประมาณสิบช่วงตึก แม่จ้าว...! ท่านยังจำเสียงออดโรงเรียนได้มั้ย เสียงมันดังยังกะเกิดไฟไหม้ แต่ขอโทษ ประกายไฟจินตนาการของข้าพเจ้าดับมอดทันทีที่เสียงแหลมปรี๊ดมันมาเข้าหู
อยากรู้จริงว่าใครเป็นคนต้นคิดเอาเสียงนี้มาใช้คั่นชั่วโมงเรียน ไม่ว่าที่ไหนๆ เสียงก็ไม่ต่างกัน(เท่าที่ข้าพเจ้าเคยได้ยินมาอ่ะนะ) เค้าไม่รู้บางหรือไงว่ามันบั่นทอนจินตนาการอย่างร้ายกาจ
สมมตินะ อาจมีว่าที่อัจฉริยะบางคนซุกกายอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของโรงเรียน กำลังขะมักเขม้นคิดค้นสูตรทางฟิสิกส์สักสูตรที่อาจเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคตได้ พอเสียงออดดัง รับรองได้ สูตรหายเกลี้ยง! แม้แต่ H2O ก็เถอะ ไปไม่เหลือ
เสียดายที่ข้าพเจ้าลืมเอาตัวช่วยหลวงพ่อทรัมไดรมาด้วย แล้วก็สมุดที่หยิบมาก็ดันเป็นสมุดที่เหลือหน้าว่างอยู่หน้าเดียว(ข้าพเจ้าใช้สมุดแบบเขียนทั้งด้านหน้าด้านหลัง บางครั้งเขียนอะไรค้างไว้ แล้วอยากเปลี่ยนไปเขียนเรื่องอื่น ก้จะจับพลิกไปเขียนอีกด้านนึง สลับไปสลับมาอยู่อย่างนี้ จึงไม่รู้ว่าใกล้จะหมดหรือยัง จนเมื่อมันมาจ๊ะเอ๋กันระหว่างทางนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าสมุดหมดแล้ว)
แต่นี่แน่ะ ทั่นดิลล์ ข้าพเจ้ากระหน่ำออโตเมติกใส่ท่านใช่ม๊ะ? แล้วไหงท่านเล่นขี้โกงกันแบบนี้ นิสัยนะนิสัย
ดีใจเจ้าค่ะที่รู้ว่าคำถามของข้าพเจ้าทำให้ทั่นได้ปฏิบัติสมาธิวิปัสนา(และหวังว่าสักวันท่านจะเข้าถึงนิพพาน) อย่างน้อยบุญกุศลนั้นคงผ่านสายใยแก้วซอกแซกซอกซอนคลื่นความถี่ต่างๆมาจนถึงข้าพเจ้าบ้างไม่มากก็น้อย
สงสัยเจ้าคะ คำถามที่ทิ้งไว้วันก่อนนั่น บันทอนจิตใจทั่นหรือเปล่า?
ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาอื่นเลยนะทั่น นอกจากหัวสมองขี้เลื้อยของข้าพเจ้ามันเสร่อสงสัยขึ้นมาเอง
อ่านข้อวิสัชนาจากทั่นแล้วให้รู้สึกหดหู่ยังไงพิลึก ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าความหมายที่ท่านต้องการสื่อจะตรงกับความหมายที่ข้าพเจ้าได้รับหรือเปล่านะ แต่ข้าพเจ้าเห็นความเศร้า สับสน มันลอยอวลอยู่ในตัวอักษร และให้ตายเถอะ ข้าพเจ้าไม่ชอบมันเลย
บางคนยังสงสัยว่ากล้วยไม้เป็นกาฝากชนิดหนึ่งหรือเปล่า ซึ่งแท้จริง ไม่ใช่ แม้ทั้งสองอย่างนี้จะเกาะต้นไม้ใหญ่เพื่อให้ตนเจริญเติบโตเหมือนกัน แต่กล้วยไม้ก็คือกล้วยไม้ กาฝากก็คือกาฝาก
หวังว่าสักวันเมื่อไม้เล็กต้นนั้นเจริญเติบโตเต็มที่ข้าพเจ้าจะได้เห็นว่าแท้จริงมันเป็นกล้วยไม้ มิใช่กาฝาก
ด้วยจิตคารวะ
ป.ล.วันก่อนท่านพี่อ้ายพุ่มฯ สอนเทคนิคลอดรูพจนานุกรม ข้าพเจ้าเลยลองเอามาใช้ดู แบบว่ามันร้อนวิชาน่ะทั่น
เลยออกมาเป็น 'เวิ้งวัก' เหอะๆๆๆ
มีปัญหาหรือสงสัยอะไรก็ไปเคลียร์กับทั่นอ้ายพุ่มฯ ละกันนะทั่นนะ
ท่านได้อ่านยังที่ท่านอ้ายพุ่มแนะนำ? บังเอิญเหลือเกินที่มันอยู่ใน webboard 17460
ด้วยความเคารพ
ฝนมาเมื่อฟ้าสนธยาสวัสดิ์ทั่น
ตอบลบม่านฝนในแสงสนธยาสวยดีนะขอรับ (หากท่านคิดภาพไม่ออก เห็นทีช่วยเหลือไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าจะไม่บรรยายล่ะ หิวข้าว!)
แวะไปดูมาแล้ว โอเคขอรับ รับทราบด้วยความปีติ (ฝากผ่านถึงท่าน Dear Sis. jinny ด้วย)เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าด้วยการใช้ภาษาไทยนับเป็นนิมิตหมายที่ดี ข้าพเจ้าหวังเห็นบรรยากาศเช่นนี้เกิดขึ้นในสังคมหนอนเสียซ้ำ
โดยมาก..สิ่งที่เรายังขาดคือจิตใจที่เปิดกว้าง แสดงความคิดเห็นด้วยท่าทีนอบน้อม ประนีประนอม ไม่ยกตนข่มท่าน แม้ไม่เห็นด้วยก็ไม่ดึงดัน ไม่รู้สึกว่าผู้มีความเห็นต่างเป็นฝ่ายตรงข้าม ทุกความคิดเห็นไม่ว่าคล้อย-ต่างล้วนช่วยจำเริญวิสัยทัศน์ เรายังเป็นเพื่อนกันเสมอ เพื่อนที่กอดคอเขียนหนังสือไปด้วยกัน
หากกำจัดข้อจำกัดที่ว่าไปได้ เราจะได้วงเสวนาหนอนสนทนาที่ท่านเจ้าสำนักเองก็คงคาดหวังให้เกิดขึ้น
ทราบดีว่าในสังคมบอร์ดยากควบคุม ยังมิวายคิดฝันอยากเห็น จึงส่งหางอึ่งลงไปกระดิกเป็นเหยื่อล่อปั๊กเป้าเยี่ยงนั้น
แต่ก็ได้เจ้าปลากระโห้ตัวโตมานี่ขะรับ !
ลายอักขระยียวนกวนบาทาภาษาไร้ที่ติของท่านอ้ายเยี่ยงนั้นแล ที่ลากปลายนิ้วข้าพเจ้าวิ่งเข้าออกสำนัก ก้มหน้าก้มตาบากบั่นฝึกฝน หวังสักวันจะเขียนให้ได้อย่างท่าน
อ่านจบพบว่ากระทั่งบัดนี้ ยังติดตามท่านไม่ทันแม้ปลายฝุ่นผงลมที่ผาย
เป็นธรรมดาขอรับ ก็ท่านเล่นเพียรเขียนจดหมายรักจีบสาว (คงคิดไปว่าท่านยาขอบประเลงจดหมายรักกล่อมสาว ๆ เป็นร้อยฉบับ ผู้ชนะสิบทิศจึงหวานหยาดเยิ้มทำกุลสตรีสยามยุคนั้นเคลิ้มน้ำผึ้งฝันกันถ้วนหน้า สำเร็จเสร็จวิชาจดหมายรัก ท่านอาจได้อภิอมตะนิยายรัก ๆ รบ ๆ สักเรื่องมาให้เราละลายสายตาในน้ำเชื่อมอักษรก็เป็นได้)
ข้าพเจ้าวัน ๆ เอาแต่เขียนสัพเพเหระ แทบไม่ได้เรื่องได้ราว ที่ไหนไปทั้นผงฝุ่นปลายเท้าอักษรท่าน
คำ 'งามระหง' มีใช้มาแล้วในอดีต ศิษย์พี่ที่เคารพหยิบยกขึ้นมากล่าวอ้าง ทำเป็นขำ แต่ขอท่านพินิจเถิด
ขอบพระคุณที่ท่านสัมผัสความทุกข์ในใจข้าพเจ้า ทุกวันนี้ที่ฝึกฝนก็คือสื่ออารมณ์ของภาษา อารมณ์ไม่ใช่คำพูด มิใช้ตัวอักษร ทำอย่างไรจึงสามารถแนบอารมณ์ไปกับตัวอักษรเหล่านั้น
ทุกครั้งที่ท่านสะท้อนกลับมา เป็นคล้ายเงาน้ำให้ข้าพเจ้าได้ชะโงกดู และค่อย ๆ ฝึกฝนไป
อีกขอบคุณสำหรับ ถ้อยคำประโลมใจ ให้มองเห็นความต่างของกล้วยไม้และกาฝาก เตือนให้รู้เลือกว่าจะเป็นอะไร
ฝนยังคงพร่ำเม็ด ในบ่อ..นกกาบแคว่ายเงาน้ำเป็นสาย
ใกล้มืดค่ำแล้ว ต้องกินข้าวก่อนขะรับ แกงส้มกุ้ง กินด้วยกันไหม?
คารวะ
กานท์กวีกลางสายฝน
ป.ล. ค่ำนี้คงคิดอะไรไม่ออกแล้ว ข้าพเจ้าท้าประลองเองแท้ ๆ แต่ต้องยอมยกธง จนป่านนี้พล็อตเรื่องที่น่าพอใจยังไม่โผล่ให้เห็นสักเรื่อง ข้าพเจ้าจะพยายามต่อไป