1
รถตู้แล่นไปบนถนนราดยางสองเลนส์เก่า ๆ เลี้ยวเลาะตามแนวเนิน ขึ้นเขาลงเขาลูกแล้วลูกเล่า ข้างทางเป็นเหวลึกสลับหมู่บ้านเล็ก ๆ เหมือนเที่ยวสัญจรลัดเลาะผ่านเข้าในวิถีชาวถิ่นที่ฝากชีวิตไว้กับผืนดงป่าดอย 
ทิวทัศน์เป็นเช่นนี้ตลอดทาง
มีบางครั้งไต่ขึ้นยอดเนินสูงลิ่ว มองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนกว้างไกล
ข้าพเจ้ามองกลับไป
ยอดเขาเหลื่อมเงาลิบตา ไม่น่าเชื่อว่าท่ามกลางดงภูนั่นเป็นที่ตั้งของเมืองซึ่งเคยรุ่งเรืองปกครองดินแดนแถบนี้ครั้งอดีต..
2
เมื่อคืนก่อนนอนข้าพเจ้าตั้งปลุกมือถือไว้กันพลาด เช้านี้จะออกไปดูชาวเมืองตักบาตรข้าวเหนียวซึ่งเป็นพุทธวัตรประจำวันของชาวหลวงพระบาง
โทรศัพท์ยังไม่ทันส่งเสียงข้าพเจ้ารู้สึกตัวเสียก่อนจึงกดปิดระบบตั้งปลุก ล้างหน้าล้างตาแล้วออกผจญอากาศยะเยือกภายนอก
ทันทีก้าวเท้าออกจากเกสต์เฮ้าส์ สองสาวชาวลาวกำลังนั่งผิงไฟอยู่มุมถนนรีบวิ่งหา ในมือถือถาดสินค้า
"ข้าวเหนียวใส่บาตรมั้ยพี่?"
ข้าพเจ้าบอกไปว่าแค่ออกมาดูไม่ได้ต้องการใส่บาตร สองสาวไม่ยอมเชื่อ เดินตามตื้อ
"พี่ช่วยซื้อหน่อยสิ" ส่งสายตาวิงวอน
"ไม่ซื้อ.." ข้าพเจ้าปากแข็ง "บอกว่าจะออกมาดูเฉย ๆ"
"นา..นะ"
"ซื้อของคนนึงแล้วอีกคนล่ะ?" ข้าพเจ้าว่า
"ก็ซื้อทั้งสองคน" อีกคนบอก
สองสาวคงเป็นผลผลิตของวิถีชีวิตชาวเมืองที่เปลี่ยนไป ตื่นเช้าแทนจะทำบุญตักบาตร กลายเป็นคอยวิ่งขายบุญให้นักท่องเที่ยว
"เธอสองคนไม่ใส่บาตรหรือ?" ข้าพเจ้าถาม
สองสาวส่ายหน้า พอดีเดินเลี้ยวมุมถนน มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งสวมหมวกซานต้าพากันออกจากเกสต์เฮ้าส์ ทั้งสองจึงวิ่งจากข้าพเจ้าไปโดยไม่เหลือเยื่อใย
ถนนว่างเปล่า มีคนปูเสื่อนั่งบนทางเท้าอยู่ทั่วไป โดยมากเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ แทบไม่เห็นชาวถิ่น
ข้าพเจ้าเข้าใจไปว่าลักษณะที่พระเดินบิณฑบาตรจะเหมือนในสยามประเทศคือเดินกระจัดกระจายทั่วไปแล้วแต่ว่าวัดตั้งอยู่ทิศทางใด  มองหาชาวถิ่นสอบถามทำเลที่มีพระผ่านมาก จึงได้รู้ว่าพระทุกวัดใช้เส้นทางเดียวกันทุกวัน โดยพระแต่ละวัดจะคอยเข้าร่วมเมื่อขบวนผ่าน
เป็นอันกระจ่างว่าทำไมภาพถ่ายขบวนพระที่เคยเห็นจึงได้ยาวสุดหูสุดตา
ข้าพเจ้าเดินย้อนขึ้นเนินหวังดูบรรยากาศให้ทั่วเท่าทำได้ ตลอดเส้นทางเห็นแต่นักท่องเที่ยวรอใส่บาตร โดยเฉพาะกลุ่มทัวร์ชาวไทยที่ดูเหมือนบริษัททัวร์จัดเตรียมอุปกรณ์ใส่บาตรไว้ให้เสร็จสรรพ ทุกคนนั่งเรียงชิดบนเสื่อ ข้างหน้ามีกระติ๊บข้าวเหนียวรอใส่บาตรพระ
ไม่กี่อึดใจขบวนสีเหลืองนวลก็เคลื่อนมาในไอยะเยือกของแสงอ่อนบางยามเช้า
ขบวนแถวเคลื่อนมาเป็นเส้นตรงบนทางเท้า พุทธธรรมรังสีสุขสงบแผ่คลุมไปทั่วอาณาบริเวณ เป็นเครื่องยืนยันว่าวิถีสันติสุขยังคงดำรงคงอยู่บนพื้นพิภพ  
กลุ่มพุทธบริษัทเริ่มขยับเขยื้อนพร้อมกับอีกกลุ่มแต่ในทิศทางที่ต่างกัน กลุ่มแรกขยับกายหยิบข้าวเหนียวใส่บาตรพระ อีกกลุ่มมองหาทำเลถ่ายภาพ
ข้าพเจ้าอยู่กลุ่มหลัง พยายามย้ายตำแหน่งหามุมเหมาะสม ดูเป็นการยากเพราะฉากตรงหน้าเคลื่อนไหวตลอดเวลา คิดถึงภาพในแกลเลอรี่แล้วยิ่งนึกนับถือฝีมือช่างภาพสามี-ภรรยาชาวฝรั่งเศษทั้งสอง กว่าทั้งคู่จะได้ภาพตักบาตรข้าวเหนียวที่สวยงามมีองค์ประกอบสมบูรณ์โชว์ในแกลเลอรี่คงใช้ความเพียรไปไม่น้อย
ข้าง ๆ ข้าพเจ้ามีนักถ่ายภาพคนหนึ่ง ในมือถือกล้องดิจิตอลราคาแพงพร้อมเลนส์ซูม สะพายกระเป๋ากล้อง ทำเลที่ดีมักมีอยู่จำกัด เราเลือกตำแหน่งเดียวในเวลาเดียวกัน ข้าพเจ้าหันไปยิ้มยินยอมให้เลนส์ซูมได้ทำงานเต็มประสิทธิภาพ
จนพระรูปสุดท้ายลับตา ข้าพเจ้าแวะซื้อแซนวิชซึ่งเป็นอาหารชนิดเดียวที่กินง่ายหาง่ายเอาไว้เป็นมื้อเช้า จากนั้นทอดเท้าลงเนินกลับที่พัก ระหว่างทางพบคุณยายนั่งอยู่บนเสื่อผืนเล็กบนขอบถนนมีกระติ๊บข้าวเหนียววางข้างกาย แวะคุยกับคุณยายด้วยสงสัยใคร่รู้ว่าใส่แต่ข้าวเหนียวแล้วพระท่านจะฉันอย่างไร
ได้คำตอบว่า อีกสักครู่พอสาย ๆ ชาวหลวงพระบางก็จะหิ้วอาหารไปถวายพระที่วัด
เดินลงเนินมาเจอนักถ่ายภาพคนเดิมกำลังถ่ายรูปอยู่ริมแม่น้ำ จึงได้ทักทายกัน
คุณชาคริตอายุประมาณสามสิบเศษ ผิวคล้ำ น้ำเสียงสุภาพ ร่วมหุ้นกับเพื่อนทำโรงแรมเล็ก ๆ ที่สมุยอยู่แถวแม่น้ำ จาริกโดยเดียวกับกล้องคู่มือเดินทางมาจากวังเวียง ข้าพเจ้ากำลังจะออกจากหลวงพระบาง ยังต้องตัดสินใจว่าจะพักวังเวียงหนึ่งคืน หรือตรงไปเวียงจันทน์เลย สบโอกาสสอบถามเรื่องที่พักและสภาพทั่วไปของวังเวียง
ฟังจากชื่อวังเวียงเข้าใจไปว่าน่าจะข้องเกี่ยวกับสถานที่ตั้งของวังเจ้าในอดีต กลับไม่เป็นเช่นนั้น
คุณชาคริตเล่ากิจกรรมต่าง ๆ ในวังเวียงพร้อมย้อนภาพในกล้องให้ดู
วังเวียงเป็นป่าเขามีธารน้ำใสเย็นไหลผ่าน มีกิจกรรมพายเรือคายัคและเล่นน้ำ ไม่ก็ไปถ้ำ มีที่พักทุกราคาให้เลือก
คุณชาคริตเล่าถึงวังเวียงด้วยวาวตาชื่นชม บอกว่าคล้ายปายในอดีต เล่าถึงความประทับใจครั้งไปปายในช่วงเวลาซึ่งยังไม่เป็นที่นิยมของคนกรุงฯเช่นทุกวันนี้ ทั้งคิดจะไปหาที่ทางถัดจากปายทำรีสอร์ตเล็ก ๆ
ยืนคุยอยู่ครู่ใหญ่จึงได้ลาจากกัน
กลับมานั่งหน้าเฮือนแคมโขงมองลำน้ำไปเคี้ยวอาหารเช้าชื่อฝรั่งรสชาติเย็นชืดไป แล้วสองสาวก็เดินผ่านมา
"เป็นไงขายหมดมั้ย?" ข้าพเจ้าร้องถาม
"ไม่หมด" คนหนึ่งบอก
"ก็พี่ไม่ช่วยซื้อ" อีกคนว่า
สองคนไม่ได้หยุดเท้าเดินจ้ำไปตามถนน
"จะรีบไปไหน?" ข้าพเจ้าร้องถาม
"ไปโรงเรียน" ตอนนี้เห็นแต่หลังไว ๆ
3
นั่งมองสายน้ำพลางครุ่นคิดถึงเส้นทางขากลับ หากวังเวียงเป็นอย่างที่คุณชาคริตเล่ามา ข้าพเจ้าเห็นทีขอผ่าน กระทั่งน้ำตกที่ว่าเลื่องชื่อยังไม่คิดไป อาจเพราะเที่ยวถ้ำน้ำตกนั้นเพียงพอแล้วสำหรับชีวิตเดินทางของข้าพเจ้า ยังเหลือก็แต่วิถีชีวิตผู้คนที่แตกต่างจึงพอฉุดแขนให้วณิพกยากไร้คว้าย่ามออกรอนแรม 
แต่หากเดินทางรวดเดียวไปเวียงจันทน์ข้าพเจ้าอาจต้องค้างคืนในเมืองเวียงจันทน์ไม่ก็เหนองคาย ซึ่งเป็นสิ่งไม่ต้องการกระทำอย่างยิ่ง
ที่สุดเลือกค้างที่วังเวียงค่อยเดินทางต่อเข้าเวียงจันทน์ตอนเช้า ข้ามสะพานมิตรภาพไปขึ้นรถทัวร์เข้ากรุงเทพฯ ที่หนองคายตอนค่ำ
ข้าพเจ้าบอกทางเกสต์เฮ้าส์จองรถตู้ไปวังเวียงไว้ให้ จากนั้นอาบน้ำอาบท่า เดินไปหาโฮม พนักงานเกสต์เฮาส์บอกว่าโฮมออกไปข้างนอกจึงไม่ได้ล่ำลา กลับมาเตรียมตัวนั่งรอรถมารับ
ขณะนั่งในรถตู้ซึ่งจะพาไปส่งสถานี เห็นโฮมเดินจ้ำอยู่บนถนนฟากตรงข้าม โฮมบอกว่าไหน ๆ พักที่หลวงพระบางแล้ว ทางบริษัทเลยใช้ให้คอยดูแลแขกชุดอื่นด้วย ดูเหมือนงานของโฮมจะรัดตัวเอาการ ข้าพเจ้าได้แต่เหลียวมองส่งสายตาล่ำลาเพื่อนชาวลาว จนรถเลี้ยวมุมถนน
ช่วงพ้นออกจากเขตเมืองเก่า ภาพตัวเมืองกลับเปลี่ยนเป็นอาคารบ้านเรือนร้านค้าที่คุ้นตาราวละครสลับฉาก จากฉากสวรรค์กลายเป็นโลกมนุษย์อย่างปุบปับ อารมณ์ของภาพตรงหน้าเปลี่ยนกระทันหันจนปรับใจแทบไม่ทัน
รถแล่นไปอีกสักพัก ภาพอาคารพานิชย์แข็งกระด้างที่คุ้นตาก็เข้ามากลืนภาพสถาปัตยกรรมเก่าแก่อ่อนช้อยในหลวงพระบางกลายเหลือแค่ความทรงจำ เหมือนต้องทำใจยอมรับว่าโลกแห่งความฝันมีไว้เพียงชั่วครู่คราว ที่สุดก็ต้องกลับมาดำรงชีวิตในโลกความจริง ในสภาพแวดล้อมจอแจ ภูมิทัศน์ระคายตา อย่างเห็นอยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน 
รถตู้คันสวยนำผู้โดยสารมาส่งสถานีเปลี่ยนเป็นขึ้นรถตู้เดินทางไกลที่เก่ากว่า ระหว่างนั่งคอยเวลารถออก พบชัยมากับรถรับ-ส่งอีกคัน ได้แต่ส่งสัญญาณมือทักทายกัน พอได้เวลา รถตู้สองคันแล่นตามกัน มุ่งออกจากตัวเมืองหลวงพระบางสู่เส้นทาง หลวงพระบาง-วังเวียง
4
รถตู้แล่นไปบนถนนราดยางสองเลนเก่า ๆ เลี้ยวเลาะตามแนวเนิน ขึ้นเขาลงเขาลูกแล้วลูกเล่า ข้างทางเป็นเหวลึกสลับหมู่บ้านเล็ก ๆ เหมือนเที่ยวสัญจรลัดเลาะผ่านเข้าในวิถีชาวถิ่นที่ฝากชีวิตไว้กับผืนดงป่าดอย
ทิวทัศน์เป็นเช่นนี้ตลอดทาง
มีบางครั้งไต่ขึ้นบนยอดเนินสูงลิ่ว มองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนกว้างไกล
ข้าพเจ้ามองกลับไป
ยอดเขาเหลื่อมเงาลิบตา ไม่น่าเชื่อว่าท่ามกลางดงภูนั่นเป็นที่ตั้งของเมืองซึ่งเคยรุ่งเรืองปกครองดินแดนแถบนี้เมื่อครั้งอดีต..
หลายร้อยปีก่อน หลวงพระบางคงเป็นทำเลที่ผู้คนไปอยู่รวมกันสร้างสังคมเล็ก ๆ ขึ้น นานครั้งจะติดต่อกับโลกภายนอก เพราะป่าเขาที่รถตู้แล่นลัดเลาะอยู่นี้กว้างใหญ่เสียเหลือเกิน มองทางไหนล้วนผืนป่าเขียวชอุ่ม มีก็แต่ลำน้ำที่คงเป็นเส้นทางหลัก
ข้าพเจ้านึกถึงหนทางเดินทัพเมื่อครั้งอดีต
กองทัพมีแต่ต้องเดินเท้าบุกป่าฝ่าดง การจักไปให้ถึงหลวงพระบางโดยผ่านป่าที่เห็นอยู่นี้ดูเป็นเรื่องสาหัส หุบเขากว้างใหญ่คล้ายกำแพงธรรมชาติที่มีทั้งไข้ป่าสัตว์ป่าเป็นเกราะคุ้มกัน หาได้สัญจรง่ายดายเหมือนผ่านเรือกสวนไร่นาของเมืองในที่ราบลุ่มแม่น้ำ แทบไม่น่าเชื่อว่าผู้คนครั้งอดีตสามารถกระทำ
มิไยหลวงพระบางยังถูกกองทัพต่างเมืองโจมตี
ในทางกลับ หลวงพระบางก็คงกระทำเยี่ยงเดียวกับเมืองเล็ก ๆ รอบอาณาบริเวณนี้
ใช่หรือไม่ว่าการดำรงคงอยู่ของสังคมมนุษย์จะต้องอาศัยสงครามเป็นฐานรองรับความสงบสันติ และภาวะอันว่างเว้นจากการศึกก็หล่อเลี้ยงอยู่ด้วยคุกรุ่นของไอสงคราม โดยผู้เข้มแข็งกว่าจักแสดงตนเป็นผู้ปกครองคอยตักตวงผลประโยชน์จนกว่าถึงเวลาทดสอบความเข้มแข็งครั้งใหม่
หลังสถานะเมืองหลวงถูกเปลี่ยนไป หลวงพระบางจึงรอดพ้นจากวงวัฏสงครามทำลายล้างของสังคมมนุษย์ คงความบริสุทธิสันติธรรมอยู่ในอ้อมล้อมแห่งขุนเขาและลำน้ำ
กระนั้นยังผ่านเรื่องราวบอบช้ำหลายต่อหลายครั้ง ต้องถูกปกครองโดยคนต่างเผ่าต่างพันธุ์จากโพ้นทะเล แล้วยังผจญกับสงครามลัทธิความเชื่อของคนร่วมชาติพันธุ์
ไม่ทราบในความบอบช้ำนั้นหลวงพระบางต้องสูญเสียอะไรต่อมิอะไรไปแล้วเท่าไร
ทุกวันนี้กองทัพต่างถิ่นต่างเผ่าพันธุ์บุกเข้ามาอีกครั้ง
สงครามนักท่องเที่ยวครั้งนี้ไม่ใช่เผาบ้านชิงเมือง แต่จะทำลายลึกถึงรากเหง้าของชาวเมือง ทำลายวิถีชีวิต วัฒนธรรม กระทั่งผืนแผ่นดินที่อยู่อาศัย หากหลวงพระบางพ่ายการศึกครั้งนี้ ความสูญเสียคงไม่อาจคาดคำนวณ
ข้าพเจ้าเหลียวกลับมา ละเมืองแห่งภวังค์สงบไว้ในอ้อมกอดของขุนเขา
ได้แต่หวังให้ทวยเทพที่ปกปักรักษาเมืองช่วยคุ้มใจผู้คน ครองจิตวิญญาณของหลวงพระบางไว้ อย่าให้ต้องถูกทำลายเพราะความโลภโมโทสันและความมักง่ายของโลกศิวิไลภายนอกเลย ●