ค่ำ(อีก)แล้วสวัสดิ์ขอรับทั่นสายที่เคารพรัก

ลายกลอนท่านเดินทางมาถึงอีกโค้งหนึ่งแล้ว ผูกสัมผัสในโยงสลับสับสัมผัสเสียงพยัญชนะ-เสียงสระชวนหวามไหว 'แรกหวานล้ำคำพรอดใช้ออดอ้อน'

ขอท่านทวนทุกบทซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนลายกลอนฝังเนื้อใจ กล่าวออกทีไรก็ล้วนร่ำสัมผัสพราวพราย โดยมิพักเสกสรรปั้นแต่ง

อันคำสัมผัสนั้นมั่นว่าใคร ๆ ก็เขียนได้ เมื่อฝึกถึงระดับหนึ่งเราท่านล้วนสามารถเขียนกลอน ดังที่เห็นอยู่ทั่วไป

แต่ใดเล่าแยกกลอนดาษ ๆ ออกมายืนโดดเด่นให้ผู้คนเรียกขาน 'บทกวี'? (บทกวีที่มิใช่บทกวียุคนี้ที่ใคร ๆ เรียกเรียงอักษรตนเป็นบทกวีกันทั้งประเทศเขตขัณฑ์)

ข้าพเจ้า่ชื่นชมท่าน เพราะตั้งแต่เราเขียนกลอนกันมา ท่านไม่เคยเรียกเรียงคำท่านว่า 'บทกวี' สักคราครั้ง (ท่านคั่นก็เช่นกัลล์) ข้าพเจ้าไม่ทราบเหตุผลท่านดอกขะรับ แต่ด้วยตนนั้นสำเหนียกอยู่ว่า 'กวี' เป็นคำสูงควรสถิตอยู่ก็เฉพาะเบื้องอันเป็นที่สักการ บุคคลซึ่งรับยกย่องเป็นกวีในอดีตมีน้อยกว่าน้อย ท่านผ่านโลกยาวนาน สร้างงานไว้มากมายจนเป็นที่ยอมรับ คำ 'บทกวี' เกี่ยวเนื่องกับ 'กวี' ซึ่งเป็นผู้รังสรรค์บทกวีอย่างไม่อาจแยกจากกัน

อาจเป็นด้วยยุคอันเราร่วมลมหายใจอยู่นี้ใช้คำบทกวีโดยแปลความจาก 'Poem' ของฝาหรั่งมังค่า คำ 'บทกวี' จึงถูกใช้ดาษดื่น "ฉันเขียนบทกวี" "เธอเขียนบทกวี" คนเขียนกลายร่างเป็น 'กวี' โดยมิต้องมีใครมายอยก เกิดยุคกวีเกลื่อนเมือง

ท่านคิดว่าสิ่งใดแยกคำสัมผัสทั่วไปออกจาก 'บทกวี' ขะรับ?

ข้าพเจ้าไม่มีคำตอบดอกนะ เพราะตัวเองไม่รู้ เดาเอาว่าสิ่งนั้นคือ 'สุนทรีย์รส' (สุนทรีย์รสมีอะไรบ้างขอทางลองค้นดูในกระท่อม WP)

ประตูแห่งสุนทรีย์รสอยู่ที่ใดข้าพเจ้ามิอาจทราบ ทั้งตัวเองก็ไม่เคยกรายใกล้ แต่ประตูนั่นมีกลิ่น กลิ่นหอมรวยรินในสายลมแผ่ว แม้นไม่รู้มาจากทิศทางใด แต่สามารถรับรู้ว่ามีอยู่

ข้าพเจ้าได้กลิ่นนั่นจากลายกลอนท่าน

จากนี้เมื่อท่านอ่านกลอนทั่วไป หากลายไม่ถึงท่าน ท่านก็จะเห็นว่าเป็นคำสัมผัสดาษ ๆ เพียงนำคำมาโยงร้อยกันด้วยบังคับสัมผัส ไม่อาจไปให้ไกลกว่านั้น ความไพเราะจึงถูกจับขังเหมือนเสียงนกกางเขนในกรง ไหนเลยไพเราะเยี่ยงยามเกาะกิ่งไม้ใต้ร่มใบ

กลอนบทนี้ยังเป็นเพียงก้าวแรกเข้าสู่โค้ง หากท่านโพสท์บอร์ดคงได้รับแต่คำชม ซึ่งข้าพเจ้าเองก็คงไม่กล้ากล่าวทักท้วงเพราะจะกลายเป็นแย้งคำนิยมของเหล่าสหายหนอน

อันคำนิยมชมชอบนั้นดีอยู่ ก่อพลังใจให้เขียนต่อไป แต่จะมีประโยชน์ใดเล่าหากเอาแต่เขียนวนอยู่กับความผิดพลาดซ้ำเดิม

ท่านเข้าโค้งเพื่อสู่ทางสายตรงของบทกลอนสละสลวย แต่เพียงเข้าโค้งก็ตกข้างทาง!
สัมผัสสละสลวยแต่หากหาความหมายไม่นั้นทำลายรสเสียสิ้น
แม้เพียงตำแหน่งเดียว งานทั้งชิ้นก็ถูกทำลาย ข้าพเจ้าเองไม่มั่นใจเพราะหาใช่ผู้เชี่ยวช่ำเรื่องคำไทย เพียงพบบางคำที่ยังเป็นปัญหาโดยขี้เลื่อยน้อยไม่อาจควานความหมาย เช่น 'ปีกผีเสื้อระเรื่อฟ้า' คิดภาพแล้วกระำไรอยู่ เพราะไม่เคยพบเห็นผีเสื้อเต็มท้องฟ้า หรือบินขึ้นจนระบายสีปีกบนท้องฟ้าได้เหมือนแสงสีจากตะวัน 'แม่รำแพง' เป็นต้นไม้หรืออะไรชนิดใด? และ 'รวิวรณ์' แปลว่าอะไรฤา?

หากมีคำตอบข้าพเจ้าก็นับว่าได้เปิดหูเปิดตา แลเป็นผลดีต่อตัวเองที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดความเห็นกัน หากไม่! ความงดงามทั้งหมดของแทบทุกวรรคบทนับว่าถูำกทำลายด้วยคำเหล่านี้..ขอท่านพิจารณา
ในทุกบทมีสัมผัสสวยอยู่มากมาย อ่านแล้วเอมรส 'พ่างสะทกเพียงอกพัง' ให้ความสุขแก่คนรักรสฉันทลักษณ์นิพนธ์ หวังท่านรักษาไว้และเดินหน้าต่อไปสู่ลายกลอนสละสลวย ไม่ยินยอมให้คำไร้ความหมายทำลายรสกลอนเสีย

หากถามว่า 'เส้นทางสละสลวยข้างหน้าเป็นอย่างไร?' 'ทางสายตรงเส้นนั้นอยู่ที่ใด?'

มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากสองวรรคนี้ 'ระยิบวิบพริบพรายอวดสายตา  ระยับทาทาบทอลงล้อทา' ข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นกลิ่นหอมของสุนทรีย์รส ขอท่านติดตามกลิ่นนี้ไป ไม่ต้องห่วงข้าพเจ้า ปล่อยข้าพเจ้างมโข่งในคูข้างทางนั่นล่ะ..ดีแล้ว!

กระท่อมน้อยคอยฝน
ต้นตุลา

@ กล่อมกลอน : กลิ่นแก้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น