once10 
เจ้าพระยายามนี้สีขุ่นด้วยน้ำเหนือหลากล้นแทบท้นฝั่ง มองไปกลางสายน้ำเห็นกอสวะกระเพื่อมรี่แรงไหล เรือโยงเรียงลำตามเรือลากจูงส่งเสียงลั่นคุ้ง ลมอ่อนหอบหอมกลิ่นลำน้ำมาในไอแดดบ่ายชายโชย  เบื้องหน้าผมเป็นเรือนไทยยกพื้น ฝาปะกนไม้สักสึกร่องลาย แวดล้อมด้วยไม้พุ่มไม้สูงแผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น มีทางโรยกรวดทอดสู่ศาลาริมน้ำ เสียงระฆังกังสดาลดังประสานเสียงนกร้องรับผู้มาเยือน  มองตามขั้นบันไดทอดสู่ซุ้มประตูไม้หับบานไม่สนิท  ผมถอดรองเท้าขยับก้าวขึ้นไป 
บานประตูไม้สักสีซีดด้วยกรำแรงแดดฝน เผยอ้าเหมือนจะเชื้อเชิญ แต่หากถือวิสาสะโดยเจ้าของไม่อยู่ดูจะกระไร  ผมยืนลังเล..
ความฝันอยากเขียนนิยายของตัวเองสักเรื่องดังก้องอยู่ในใจ แต่ไม่เคยลงมือทำให้สำเร็จสักครั้ง เพราะเวลาแทบทั้งหมดมีแต่งานกับงาน  ผมไม่เคยเชื่อเลยว่าเราสามารถทำงานประจำและเขียนนิยายหลังเลิกงาน เว้นแต่เป็นงานประเภทปลอดความเครียด ทุกอย่างเสร็จในเวลา  หมดเวลางานก็หมดเรื่องให้ขบคิดหมดปัญหาให้แก้  หากเป็นอย่างนั้นย่อมมีพลังหลงเหลือสำหรับลงมือสานไยฝันให้เป็นรูปเป็นร่าง  แต่ไม่มีวันเกิดขึ้นกับงานทัวร์โอเปอร์เรชั่นของผม งานที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่หยุดหย่อน ไม่เลือกเวลาตื่นหรือหลับนอน เพราะลูกค้าของบริษัททั้งที่หมุนเวียนเข้า-ออกและกระจายพักโรงแรมต่าง ๆ ทั่วประเทศร่วมร้อย ไม่ปัญหาใดก็ปัญหาหนึ่งจะต้องเกิดขึ้น  โทรศัพท์ของผมดังไม่เลือกเวลา ไม่ว่าเป็นตีสอง ตีสาม หรือขณะนั่งในห้องน้ำ  ทุกครั้งพลาดไม่ได้ เพราะล้วนเป็นเรื่องเร่งด่วนสุดวิสัยของหัวหน้าทัวร์หรือไกด์จะจัดการ
ผมเริ่มคิดเรื่องลาออกครั้งที่ไกด์รับงานแต่ไม่โผล่ไปรับแขก คนรถโทรฯ จากสนามบินตอนตีสี่  ทั้งเพิ่งเสร็จงานดูแลแขกวีไอพีได้เอนหลังหลับนอนตีสอง ไม่มีไกด์คนไหนว่าง  ผมรีบล้างหน้าแต่งตัวขับรถไปสนามบิน  เผลอหลับตอนติดไฟแดงจนรถคันหลังกดแตร แล้วไปยืนหลับถือป้ายชื่อกรุ๊ปทัวร์ตรงช่องทางผู้โดยสารขาเข้า
หากผมยังใช้ชีวิตแบบนี้อาจไม่มีลมหายใจรอดอยู่ยาวยืน  แต่ความหวังอยากมีบริษัททัวร์ของตัวเองก็คอยหนุนให้กัดฟันทน  ผมมาจนใกล้ถึงเป้าหมายเต็มที  มีรายชื่อตัวแทนบริษัททัวร์ต่างชาติที่ติดต่อด้วยมากพอแล้วทั้งกลุ่มลูกค้ายุโรป ออสเตรเลีย อเมริกา รวมทั้งเอเชียอย่างฟิลิปปินส์ สิงคโปร์  มีรายชื่อไกด์สามารถใช้ภาษาที่สามมากพอรองรับงาน
ผมยังทำงานหามรุ่งหามค่ำรอวันเป็นเจ้าของกิจการตัวเอง  ขณะอีกใจก็คอยถามว่าชอบรูปแบบชีวิตที่เป็นอยู่นี้จริง ๆ หรือ?
คำตอบคือ ไม่!
รูปแบบชีวิตอย่างที่ผมกระทำจนชำนาญนี้จะต้องแก้ปัญหาทุกอย่างให้ลุล่วงด้วยดีไม่ว่าจะใช้วิธีใด บ่อยครั้งต้องลื่นไหล โกหกเพื่อซื้อเวลา รับปากเพื่อลดภาวะปะทะทางอารมณ์ เสแสร้งเป็นมีโทสะเพื่อกดดันฝ่ายตรงข้าม ใช้เสื้อผ้าแบรนด์เนมเพื่อความเชื่อมั่นของลูกค้า  ชีวิตที่ใจโหยหากลับเป็นชีวิตเงียบ ๆ สวมเสื้อผ้าลำรองอยู่กับบ้าน นั่งเขียนหนังสือจากเช้าจนเย็นโดยไม่ต้องออกไปผจญรถติด แบกรับความเครียดไว้เต็มบ่า วนเวียนอยู่กับปฏิสัมพันธ์ของผู้คนรอบข้างที่ล้วนนานาจิตตัง ดี ๆ ร้าย ๆ ปะปนจนคล้ายอยู่ในโรงพยาบาลประสาทโรงใหญ่ 
กระทั่งปัญหาล่าสุด
ผมทะเลาะกับโอเปอร์เรชั่นฝั่งยุโรป ทำงานแค่พ้นตัว ส่งงานยังไม่เสร็จมากองให้ผมต้องไล่ตามหารายละเอียดทั้งที่ไม่ใช่งานตัว  เฉพาะงานผมเองก็ทำจนสองสามทุ่มทุกวันอยู่แล้ว ผมไม่อยากอดกลั้นต่อไปเลยระบายโทสะแล้วก็ลาออก
คล้ายเกลียวที่ขันจนแน่น ต้องคลายออกเสียบ้าง
คิดหยุดแรงเหวี่ยงของชีวิตสักพัก ใช้ชีวิตตามใจต้องการสักช่วงดูว่าจะเป็นอย่างไร  ผมจะหาที่เงียบ ๆ นั่งเขียนนิยายสักเรื่อง จากนั้นค่อยจัดการกับชีวิตต่อไป  ไม่ตระเตรียมอะไรทั้งสิ้น ไม่พกกระเป๋าเดินทาง  ผมสตาร์ทฮอนด้าซิตี้ไทป์ซีออกจากปากเกร็ดคิดจะขับรถไปหาเพื่อนที่พิษณุโลก  แต่แล้วไม่ทราบอะไรดลใจ  ช่วงผ่านแยกเข้าอยุธยาผมกลับเลี้ยวซ้ายไม่มีปี่มีขลุ่ย
ผมมาอยุธยาจนนับครั้งไม่ได้ เพราะอยุธยาอยู่ในโปรแกรมขายของทุกบริษัททัวร์  ทุกทัวร์อะราวด์ต้องแวะอยุธยา แต่ที่จดจำไม่ลืมคือครั้งเรียนวิชาถ่ายภาพ  ผมขึ้นรถสายมาดุ่มเดิน  พบคนใจดีพาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เที่ยวถ่ายภาพไปทั่ว อดทนคอยด้วยความเต็มใจ เสียเวลาทั้งวันให้นักศึกษาที่มีเงินติดตัวแค่มื้ออาหาร  ขณะขับรถวนเวียนดูซากความเจริญรุ่งเรืองครั้งอดีตใจคิดถึงมิตรภาพบริสุทธิ์ครั้งนั้นซึ่งไม่เกิดขึ้นอีกเลยเมื่อเส้นทางชีวิตเข้าสู่ช่วงของงานที่แลกเปลี่ยนเวลากันด้วยตัวเงิน 
กินมื้อเที่ยงเสร็จผมขับไปตามถนนเลียบแม่น้ำ มีเกสต์เฮ้าส์เรียงรายตลอดทาง ทั้งที่ดัดแปลงบ้านเก่าและสร้างใหม่  เคยคิดอยากมีบ้านริมน้ำ แต่ราคาที่ดินริมน้ำยุคนี้สุดวิสัยที่ผมจะอาจเอื้อม  พักแถวนี้สักหลายวันคงไม่เลว ผมส่ายตาเสาะหาที่พัก แวะสอบถามไปเรื่อย จนขับเลยป้ายไม้เก่า ๆ ตัวอักษรสีทอง  ผมหันกลับไปมอง  ภายในรั้วชบาเป็นบ้านทรงไทยดูร่มรื่น  ถนนแคบมากกว่ากลับรถได้ก็เลยไปไกลโข  ผมกลับมาที่ป้ายอักษรสีทองอีกครั้ง ป้ายไม้สึกเห็นร่องลึกลาย  ตัวอักษร 'กาลครั้งหนึ่งฯ' ลงรักปิดทองหลุดล่อนราวผ่านกาลเวลาหลายร้อยปี  มีป้ายภาษาอังกฤษ 'Once Upon A Time' Bed & Breakfast อยู่ด้านล่าง  ผมเลี้ยวรถเข้ามา
"เชิญข้างในค่ะ"
เสียงใสกังวานเหมือนแว่วจากที่แสนไกลปลุกผมจากภวังค์  สำเนียงเนิบนุ่มหางเสียงคำ 'ค่ะ' แผ่วเบาทอดปลายเหมือนเรือนผมหญิงสาวยามต้องลม  ราวถูกสะกด ผมยื่นมือแตะบานไม้  มีเสียงหวีดหวิวคล้ายเอาเปลือกหอยแนบหูดังก้องขึ้นในความเงียบ  ตรงหน้าเป็นประตูไม้สักแบบบานคู่สลักลายพฤกษาเลื่อมเงาแสง  พวกนกเล็ก ๆ ในลายไม้คล้ายขยับเขยื้อน  บานไม้โต้ตอบสัมผัสเหมือนคุ้นมือ แทบไม่ต้องออกแรงผลักมันอ้าออกช้า ๆ ขณะเดียวกันสายลมแผ่วจากแม่น้ำก็พัดเอากลิ่นหอมอ่อนโชยมา  ไอเย็นปะทะใบหน้า ผมชะงักเท้า ถอดแว่นกันแดด  หากไม่ใช่เพราะตาฝ้าก็ตาฝาดเพราะที่เห็นคือไอเย็นบางเบาลอยอ้อยอิ่งคล้ายอวลหมอกยามรุ่งสาง
ผมก้าวข้ามธรณีประตู
ช่วงหนึ่งก้าวกลับรู้สึกทอดยาวราวเคลื่อนสู่อีกสถานที่แสนไกล  กลิ่นอ่อน ๆ ของไม้หอมหลากชนิดแซมกลิ่นอบเชยกานพลูโชยแล้วแผ่วหายแล้วกลับมาเหมือนลอยผ่าน  เสียงหวีดหวิวอึงแก้วหูเมื่อครู่เงียบไปแล้ว  ยินแต่เสียงของความวิเวกเหมือนอยู่ในโลกเวิ้งว้าง
"เชิญข้างในก่อนค่ะ"
ผมยืนค้างอยู่ตรงประตู หลับตารอให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ นั้นวนกลับมา  ได้ยินเสียงเรียกซ้ำจึงสืบเท้าเข้าไป
หญิงสาวนั่งบนตั่งสีทอง ใต้ชายคาเรือนไทยด้านหน้าเปิดโล่ง  ผมยาวรวบมวยไว้ด้านหลังเผยลำคอระหง วงหน้าสงบนิ่งริมฝีปากอิ่มเผยอยิ้มแก้มอวบ  เธอวางพวงมาลัยมะลิลงบนพานขยับปลายเท้าอ่อนช้อยลงสู่พื้น  ผ้าผืนทอลายสอดดิ้นทองคลี่เคลื่อนทิ้งตัวลงตามปลายเท้าละมุนผ่อง  ทับทรวงเนื้อหนาสีหมากสุกขับผิวไหล่เนียนนวล  เธอซ้อนมือขยับลุก
'เหมือนเตรียมเข้าฉากละครทีวี' ผมนึก
หญิงสาวเดินตรงมา รอยยิ้มประกายตาสะกดผมนิ่งงัน เธอสูงประมาณไหล่ กลิ่นหอมอ่อน ๆ นั่นมาจากตัวเธอนี่เอง
ไม่กล่าววาจา เธอหยุดยืนมองหน้าผมนิ่ง ดวงตาคมวามวาวแม้ภาพเขียนวิจิตรซึ่งเลิศศิลปินรังสรรค์ก็คงไม่อาจงามอย่างที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้  รอยยิ้มน้อย ๆ ประดับมุมแก้มนวลตลอดเวลา
"บ้านร่มรื่นน่าอยู่ครับ" ผมทัก
เธอยิ้ม "ขอบคุณค่ะ"
"ไม่ทราบมีห้องพักว่างมั้ยครับ?"
แทนคำตอบ เธอผายมือไปทางตั้งสีทองแล้วก้าวนำ  ผมเดินตามมานั่งลงฝั่งตรงข้ามทิ้งระยะห่างพอสมควร  หญิงสาวรวบชายผ้าเก็บปลายเท้าพับเพียบบนตั่งนั่งหลังตรงสง่าราวกุลสตรีสูงศักดิ์
"พักกี่วันไม่ทราบคะ?"
"เอ่อ.." ผมไม่ได้คิดไว้ก่อน  คำถามนี้ขึ้นกับเงื่อนไขสถานที่ว่าเก็บค่าที่พักตอนเช็คเอ้าท์หรือตอนเข้าพักเพราะหากจ่ายไปก่อน ไม่สามารถเปลี่ยนใจภายหลัง  คิดอีกที ทางที่ดีผมควรทิ้งตัวตนคนคลุกคลีวงการท่องเที่ยว เป็นอีกคนที่ไม่อินังขังขอบปล่อยเรื่องราวรอบข้างดำเนินไปแล้วค่อยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า  ผมตอบไปว่า
"ยังไม่ได้คิดเลยครับ"
หญิงสาวเลิกคิ้วโก่ง หันมองแล้วอมยิ้มเอื้อมหยิบพวงมาลัยมะลิที่ร้อยค้างขึ้นจากพานทอง  ผมไม่คุ้นกับพวกเครื่องประดับประเภทเงิน ๆ ทอง ๆ แต่มองอย่างไรก็คิดว่าพานนั่นเป็นทองแท้ ไม่ใช่ชุบสีทอง
"ไม่ทราบห้องพักคืนละเท่าไหร่ครับ?"
"สักครู่คงมีคนมาดูแลลองถามเขานะคะ"
"ได้ครับ"
ผมพยักหน้ากวาดตามองข้าวของเครื่องตกแต่ง  ล้วนวัตถุโบราณล้ำค่า หากไม่ใช่ของแท้ก็ต้องเป็นงานฝีมือเลิศจากช่างชั้นยอด ไม่ว่าเป็นฝักพระขรรถ์ถมตะทองประดับพลอย ปิ่นทองในตู้ไม้แกะสลัก หรือซอประดับทับทิมแขวนข้างฝานั่นงามจนไม่อยากเชื่อว่าเป็นฝีมือช่างยุคนี้  
"ชอบวัตถุโบราณหรือคะ?" หญิงสาวถามมือหยิบดอกมะลิร้อยเข้าพวง
"ครับ" ผมตอบ "ขออนุญาตชมใกล้ ๆ ได้มั้ยครับ?"
"ตามสบายค่ะ"
ผมขยับลุกจากตั่งช้า ๆ บรรยากาศคล้ายหลุดยุคพลอยกดดันแม้จะก้าวขาผมยังต้องส่งปลายเท้าลงพื้นก่อนด้วยเกรงก่อเสียงดัง
บนเรือนนี้ประกอบด้วยเรือนไทยสามหลังหันหากัน เชื่อมด้วยระเบียงแล่น มีศาลายกพื้นตรงกลางใช้เป็นที่นั่งพักผ่อน  ส่วนรับรองแขกเป็นเรือนไทยเปิดโล่ง มีผนังสามด้าน วางตั่งทองไว้กลาง  ถัดจากส่วนรับรองแขกคงเป็นห้องพัก ไม่ก็เจ้าของใช้อยู่เอง 
ซอโบราณสลักลายวิจิตรประดับทับทิมเม็ดเขื่องแขวนผนังด้านในฝั่งที่ผมนั่ง  ผมเดินมาหยุดมอง ทับทิมสะท้อนประกายแดดบ่ายวาวแวว 
"ชอบแบบไหนหรือคะ" เสียงกังวานใสเอ่ยถาม "สะสมหรือนักหาของเก่า?"
"แค่ชอบดูน่ะครับ" ผมตอบ "บางคนอาจชอบเดินห้าง ดูหนัง ผมกลับชอบเดินดูวัตถุโบราณ  ผ่านริเวอร์ซิตี้ทีไรผมเดินดูทั้งวันไม่ได้คิดเป็นเจ้าข้าวเจ้าของนะครับ  แค่รู้สึกว่าบรรยากาศแวดล้อมด้วยวัตถุโบราณนั้นเงียบขรึม อบอุ่น สงบนิ่ง.."
"อาจเพราะวัตถุโบราณเป็นของตายแล้วมังคะ" เธอแทรกขึ้น "ไม่มีเรื่องราวอะไรให้ตื่นเต้นอีก ผู้เป็นเจ้าของล้วนจากไปหมดแล้ว"
"อ้าว..เจ้าของใหม่ไม่นับเป็นเจ้าของหรือครับ?"
"ไม่ดอกค่ะ" เธอตอบ "ดูซอนั่นสิคะ เจ้าของคือคนที่ทำให้ซอเกิดเสียงดนตรี สื่อจิตใจกับสายซอเป็นเดียว ซอจึงมีชีวิต  หากแขวนอยู่ข้างฝาอย่างนั้นต่อให้สวยงามอย่างไรก็เป็นแค่เครื่องประดับ เป็นซอที่ตายแล้ว"
ผมพินิจคันซอสลักลายไม้อ่อนช้อยหยักพลิ้วราวจะปลิวไหว วาวแดงของทับทิมเม็ดเขื่องบนตัวซอเลื่อมแสงไปมาคล้ายมีกระแสโลหิตไหลเวียนภายใน
"วัตถุโบราณที่คุณชอบแวะดูมีวิญญาณหรือไม่คะ?" หญิงสาวถามขึ้น
"วิญญาณ?" ผมหันมองเธอ ย้อนคำโดยไม่เจตนา
"วิญญาณในตัววัตถุน่ะค่ะ" เธอกล่าวย้ำ
"คงไม่มีมังครับ"
"อาจเป็นของทำขึ้นใหม่" เธอเปรย
"โดยมากเป็นอย่างนั้นครับ" ผมเอ่ยทั้งสายตายังไล้คันซอ "ทำใหม่ให้ดูเก่า เพราะของเก่าจริง ๆ ผิดกฎหมายนำออกนอกประเทศไม่ได้"
"ผู้คนสมัยนี้สนใจแต่รูปลักษณ์ภายนอก ไม่คำนึงถึงวิญญาณเลยนะคะ"
"มีวิญญาณในวัตถุโบราณจริง ๆ หรือครับ?"
"ลองสัมผัสดูสิคะ"
ผมลังเลจ้องมองคันซอ
"ลองสิคะ" เธอย้ำ
ผมยื่นมือ เลื่อนปลายนิ้วไปบนคันไม้เรียบลื่น  ฉับพลันภาพสว่างวูบวาบสลับซับซ้อนเหมือนแฟสฟอร์เวิร์ดผ่านเข้าในสมอง  เห็นภาพบางอย่างแต่ไม่อาจแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร  ผมสะดุ้งชักมือกลับ  เพ่งมองซอด้วยความพิศวง
"พวกนั้นเป็นภาพเก่า ๆ ซอตายไปแล้ว" เสียงเธอแผ่วเบาเหมือนแว่วจากอีกสถานที่แสนไกล "พร้อมกับเจ้าของ"
ผมกวาดตาดูวัตถุโบราณชิ้นอื่น ๆ ที่นี่มีเรื่องราวน่าสนใจไม่น้อย ลองพักสักคืนสองคืนคงไม่เลว  เดินกลับมานั่งยังไม่วายหันมองซอคันนั้น
"แปลกดีครับ" ผมบอก "มีภาพซับซ้อนแวบขึ้น ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ ๆ"
หญิงสาวร้อยมาลัยเสร็จยกขึ้นพิศแล้ววางลงบนพานอย่างแช่มช้า "นั่นเป็นภาพชีวิตเจ้าของซอ"
"ฮ้า!" ผมอุทาน
"ฉันพอจะลำดับภาพให้คุณฟัง" เธอช้อนวาวตาคมขึ้นมองผมแล้วยิ้ม
ผมออกเดินทางโดยไม่มีแผนอยู่แล้ว ได้มาพบสถานที่ร่มรื่นหญิงสาวที่กลิ่นกายหอมสมุนไพรราวหลุดหลงมาอยู่ยุคโบราณอย่างนี้ยิ่งเหนือความคาดหมาย  ทางที่ดีพักเสียที่นี่แล้วค่อยเดินทางต่อไปหาเพื่อน
"ขอเช็คอินก่อนเป็นไรครับ"
"อะไรนะคะ?"
"ผมน่าจะเช็คอินให้เรียบร้อยก่อน"
"อะไรคะเช็คอิน?"
เอาล่ะสิ ทำเกสต์เฮ้าส์แต่ไม่รู้จักเช็คอิน  ผมอึกอักไม่รู้อธิบายอย่างไร คำนี้ง่ายเกินไปจนขืนอธิบายคงบ้องตื้น  ผมเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ บ่ายสามสิบห้า 
"ผมหมายถึงจัดการจ่ายค่าห้องพักให้เรียบร้อยน่ะครับ"
"อ้อ.." เธอทอดเสียง "อีกประเดี๋ยวคงมีคนมาดูแล"
"อืมม์..ถ้างั้นขอนั่งฟังเรื่องเจ้าของซอรอพนักงานไปพลาง ๆ ดีมั้ย?"
เธอซ้อนมือวางเหนือตักเหยียดหลังตรงอมยิ้มนิดหน่อย  ผมสิไม่รู้จะเอามือไม้ไว้ที่ไหน  เลยงอเข่าวางบนตั่งมือเท้าเข่าเหยียดหลังนั่งเลิกคิ้วรอฟังเธอ
แรก ๆ ตะกุกตะกักเหมือนทบทวนความทรงจำ น้ำเสียงสั่นเครือ สักพักก็คืนปกติเล่าเรื่องราวต่อเนื่องลื่นไหล  นอกจากแต่งกายย้อนยุคกลิ่นหอมแปลก ๆ แล้วผมเพิ่งสังเกตว่าภาษาของเธอ การใช้คำของเธอแตกต่างจากที่คุ้นเคย สำเนียงแผ่วเบาเนิบนุ่ม โดยเฉพาะหางเสียงคล้ายมีสร้อยของเพลงไทยเดิมอยู่ในทุกคำพูด  ผมเคลิ้มฟังน้ำเสียงกังวานใสบอกเล่าเรื่องราวคล้ายนั่งสดับเครื่องสายดนตรีไทยบรรเลงอยู่ตรงหน้า
once6 

ดาวน์โหลด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น