ครั้งเยาว์วัยข้าพเจ้าถูกสอนให้สงสัย ประมาณว่าสงสัยเข้าไว้แล้วเอ็งจะฉลาด แต่เข็นไม่ขึ้นขะรับ ข้าพเจ้าอายไม่กล้าถาม กลัวเพื่อนรู้ว่าโง่ ใบหน้าคุณครูเพ็ญศรีดูเหมือนจะอ่านไปทางเดียวกับใบหูเพื่อน ๆ ข้าพเจ้าเลยนั่งพยักคางหงึก ๆ ไปตามเรื่อง คุณครูเพ็ญศรีถามให้ยืนตอบคราใดต้องคอยมุดหลบอย่าได้สบตาแก
"ธุลีดิน!" แกเรียกเสียงเฉียว ใจข้าพเจ้าหล่นไปกอดตาตุ่ม "เธอนั่นแหละ!" คุณครูเพ็ญศรีย้ำเมื่อเห็นข้าพเจ้าเงอะ ๆ งะ ๆ "ตอบมาซิพายอาร์กำลังสองหารเอ็มซีสแควร์ถอดแฟคตอเรียลเป็นค่าอะไร?" เอ่อ..แกคงไม่ได้ถามหยั่งงี้ดอกขะรับ ข้าพเจ้ามั่วน่ะ จะจำได้อย่างไรเล่าขะรับ ขณะนั้นข้าพเจ้าหูอื้อตาลายคล้ายจะเป็นลม คิดอยู่แต่ว่าถามเสียตอนนั้นก็ดีหรอกไม่น่าปล่อยให้คุณครูเพ็ญศรีเอามาถามเ่ลย ข้าพเจ้าไม่ใช่ครูเสียหน่อยจะรู้คำตอบได้ไง
ลุกยืนอึก ๆ อัก ๆ หลับหูหลับตาตอบมั่วออกไป เพื่อนฮากันลั่นห้อง ยังมีอีกนะขะรับ ตอนนั้นไม่รู้ไปติดไอ้คำ 'แบบว่า' มาจากไหน พออึก ๆ อัก ๆ คิดอะไรไม่ออกก็ 'แบบว่า' ไว้ก่อน แบบว่ามันดะจนแค่อ้าปากพวกเพื่อนมันร้อง 'แบบว่า' ดักคอ คุณครูเพ็ญศรีก็บ้าจี้ไปกับพวกมัน ถามใหญ่ ยิ่งถามยิ่งตอบไม่ได้ 'แบบว่า' เลยหล่นเกลื่อน ข้าพเจ้ายืนน้ำหูน้ำตาไหล ขำตัวเองก็ขำอายก็อาย วันนั้นไม่เป็นอันทำอะไรเพื่อนมันล้อข้าพเจ้าจนเลิกเรียน
สิ้นครั้งนั้นตั้งใจไว้ว่าจะต้องเป็นมนุษย์เจ้าปัญหาให้ได้ เจ้าปัญหาแบบช่างซักช่าง
ถามนะขะรับ ไม่ใช่มนุษย์เจ้าปัญหาเที่ยวเผาเมืองเล่น ข้าพเจ้าพยายามแก้นิสัยขี้อายสุดฤทธิ์ นังแว่นโต๊ะข้างจะส่งสายตาลอดกรอบแว่นอ่านได้ความว่าหน้าง่าวอย่างไรก็สู้อดทนไว้ พบไอ้บอยขาโจ๋ ป.๔ ร่วมซอย (เตะโกหนูด้วยกัลล์) ก็หมั่นยุมันว่าเอ็งต้องสงสัยเข้าไว้ มีอะไรไม่เข้าใจไม่รู้เรื่องให้้รีบถามอย่าได้อาย ถ้าเอ็งไม่รีบถามเอ็งจะถูกถามแล้วเอ็งจะโง่ (เอ่อ..แต่ข้าพเจ้าไม่ได้เล่าที่ี่มาของความคิดนี้ดอกนะขะรับ)
เป็นคนช่างสงสัยด้วยความภาคภูมิอยู่พักใหญ่ รู้สึกคล้ายยิ่งสงสัยยิ่งฉลาด หากยิ่งสงสัยเรื่องที่มนุษย์มนาเขาไม่สงสัยกัลล์ สงสัยประเภทที่ถามแล้วคนถูกถามทำหน้าเอ๋อล่ะยิ่งมนัสวี (เอ่อ..แปลว่าแจ๋วแว๋ว) สงสัยแบบว่าทำไมนรกมันไม่ล้นเสียทีล่ะฮับ? ยมบาลสัญชาติอะไรฮับ? หากทำบาปแล้วพุทธว่าบาปผมลาออกจากพุทธบาปยังมีไหมฮับ? ตกลงพระอินทร์เป็นพุทธหรือพราหมณ์กันแน่ฮับ? ร้อยแปดพันเก้า
กระทั่งหนหนึ่ง ตอนนั้นกำลังคลั่งไคล้สีน้ำ ปะอาจารย์สีน้ำท่านหนึ่งกำลังแสดงงาน ท่านยืนตอบคำถามประดานักเรียนด้วยสีหน้าแช่มชื่นดูแล้วใจดี๋ใจดี ข้าพเจ้าด้วยความที่รักชอบสีน้ำเป็นกำลัง อยากวาดให้ได้อย่างนั้นบ้าง เห็นภาพยังกะตวัดแค่ทีสองทีก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ตลาดสดใต้ร่มสีสดใสมีสินค้าผลหมากรากไม้สดสวย ภาพหญิงชาวบ้านยืนเลือกซื้อของ หากเป็นข้าพเจ้าคงนั่งขีด ๆ เขียน ๆ เป็นชั่วโมงกว่าได้ภาพคนสักคน แต่นั่นดูคล้ัายท่านปรมาจารย์ตวัดแค่ไม่กี่ทีได้ภาพหญิงชาวบ้านหิ้วตะกร้าแล้ว
ข้าพเจ้ารอกลุ่มนักเรียนถามจนพอใจ ได้จังหวะจึงถามออกไปว่า "ไม่ทราบรูปคนนี้" พร้อมชี้มือไปที่รูปตรงหน้า "วาดอย่างไรครับ?"
ท่านปรมาจารย์ยืนเอ๋ออยู่ครู่ใหญ่ ข้าพเจ้าเริ่มสงสัยว่าตูข้าคงถามคำถามที่ลึกซึ้งถึงต้องแก้สมการระดับอภิปรัชญาเข้าแล้ว ความเงียบกดทับทุกคนเหมือนพะเนินเหล็กหล่นแหมะ ผ่านไปครึ่งค่อนวันท่านปรมาจารย์จึงเลิกคิ้วเอ่ยขึ้นว่า
"เป็นคำถามที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย"
จนป่านนี้ข้าพเจ้าจึงยังวาดรูปหญิงชาวบ้านแบบตวัดทีสองทีไม่ได้สักที เพราะตีความหานัยยะที่ซุกซ่อนในคำตอบไม่ออก แต่ที่จำได้สายตาทุกคู่ใบหูทุกข้างเพ่งมาทางข้าพเจ้าเหมือนจะพูดว่า 'ทำไมถึงโง่หยั่งงงงงงี้'
จากวันนั้นจึงเริ่มสงสัยว่าเห็นทีจะต้องหยุดสงสัยบ้างแล้ว และก็เริ่มรับรู้ว่าช่างสงสัยหมั่นซักหมั่นถามทำให้ได้รู้แต่ต้องเสี่ยงกับเสียค่าโง่นั้นนับว่าทำยากแล้ว การรู้ที่จะหยุดสงสัย ไม่ซักไม่ถามดูเหมือนจะยากเสียกว่า และรู้ว่าอะไรควรสงสัยอะไรไม่ควรสงสัยยิ่งยากเข้าไปอีก
ตอนนี้เริ่มสงสัยอีกแล้ว
ชักสงสัยว่าสังคมนี้จะอยู่กันอย่างไร ปั่นหัวให้คนทะเลาะกันมาขนาดนี้ ผู้คนก็ช่างต้องการแสดงความคิดความเห็น หารู้ว่าความเห็นตนอาจมีมือที่มองไม่เห็นปั่นมาอีกที ไป ๆ มา ๆ ชักสงสัยตัวเอง ไอ้ที่ข้าพเจ้าสงสัยอยู่นี่โดนปั่นหัวอยู่หรือเปล่า (นะ) ? ยิ่งสงสัยยิ่งมึนเห็นทีต้องหยุดสงสัยเสียบ้างแล้ว (ถึงจะยากจนที่สุดก็เถอะ!) ●
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น