ยอดเยาวมิตร

ฉันยืนอยู่ตรงปลายสุดชะง่อนหินเหนือผาชัน เบื้องล่าง คลื่นอักษรกำลังซัดกระหน่ำส่งเสียงโครมครืนไม่หยุดหย่อน พรายฟองซ่านซับโขดหินตะปุ่มป่ำมะเมื่อมวาว ครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับการปะทะอันรุนแรงนั้นเป็นคำทักทายของกันและกัน

โขดหินกับฟองคลื่น

ทั้งสองอาจหลงใหลคำทักทายเยี่ยงนี้ คล้ายการหยอกเย้าเริงร่า ครั้นสิ้นวันก็สิ้นแรง เปลี่ยนเป็นลูบไล้อ่อนโยน ปลอบประโลมกันและกันอย่างเหนื่อยล้า

เบื้องหน้า

ทะเลอักษรกว้างแลไกลไปสุดตา ตัวอักษรกระเพื่อมระยิบยับสะท้อนเงาแสงสนธยา ลมตะวันตกกระโชกหน่วงหนักยากทรงกาย  เมฆความฝันก่อตัวทะมึนโปรยฝนอยู่ตรงสุดขอบฟ้า เสียงหวีดหวิวลั่นแก้วหูอยู่เป็นระยะ ไม่ต้องหันมองฉันรู้ว่าฟ้าอีกฟากมืดแล้ว เหลืออยู่แต่ลำแสงสุดท้ายตรงหน้า  แสงเงาสนธยาที่ดำรงคงอยู่ชั่วครู่ยาม  ก่อนม่านกำมะหยี่มืดดำจะคลี่มาคลุม

ฉันสงสัยอยู่เสมอว่าภาพตรงหน้าต่างอย่างไรกับช่วงเวลาอรุโณทัยจับขอบฟ้าตะวันออก

ไยเราจึงสามารถแยกแยะว่านั่นคืออรุณรุ่งมิใช่สนธยา ทั้งเป็นช่วงเวลาตะวันสถิตตรงขอบฟ้าเหมือนกัน เป็นทิศทางบินของนกกากระนั้นหรือ? หรือหมู่เมฆ? หรือต้นไม้ใบหญ้า? ที่จำแนกให้เราเห็นความแตกต่าง
หรือที่จริงแล้วทั้งสองเป็นช่วงเวลาเดียวกัน ตรงจุดสิ้นสุดก็คือการเริ่มต้น

ฉันยืนอยู่ตรงนี้ ตรงปลายสุดชะง่อนหิน กระแสลมตะวันตกพัดแรงบาดผิวจนคล้ายเกล็ดน้ำแข็งกรีดผ่าน  เสียงกระพือของอาภรณ์เก่าคร่ำร่ำแข่งเสียงหวีดหวิวของสายลม ฉันเงยมองไปในทะเลดาว แสงกะพริบแพรวพราวราวอัญมณีประดับ

มองไกลออกไปหลายร้อยปีแสง

ดาวสีน้ำเงินของเธอลอยอยู่ตรงนั้น  ลอยห่างออกไปทุกที  เปล่าเลย..อย่างเคยบอกกับเธอ ระยะทางหาได้มีผลกับความรู้สึกใกล้ไกล เวลาหาได้เป็นข้อกำหนดอันใดนอกไปจากนาฬิกาโบราณล่องลอยอยู่ในธารกระแสแม่เหล็กแห่งความนึกคิด  ฉันยืนมองดาวสีน้ำเงินลอยห่างออกไปด้วยความยินดี ยินดีที่เคลื่อนไหวนั่นเป็นหนแห่งความจำเริญในอักขระญาณอันเธอหมั่นบำเพ็ญ  สักวันดาวสีน้ำเงินที่ฉันเฝ้ามองอาจล่องลอยไปไกลจนสุดตา..

คลื่นอักษรยังโหมซัดหน้าผาเป็นระยะ ละอองฟองกระเซ็นต้องใบหน้า ฉันเพ่งมองคลุ้มคลื่นเคลื่อนตัวทบทับ แสงวิบวับของหิ่งห้อยน้อยลัดเลาะไปในพรายน้ำปั่นป่วน บัดเดี๋ยวโผล่บัดเดี๋ยววับหาย ต้องใช้ความกล้าเพียงใดจึงหาญออกเดินทางไปในคลื่นคลุ้มคลั่งไม่อาจคาดเดา ต้องใช้กำลังใจเพียงใดจึงสามารถประคองตนไปให้ตลอดรอดฝั่ง  ต้องบ้าบิ่นหรือไม่จึงละทิ้งสุขสบายออกดั้นด้นหายากลำบาก

ฉันไม่รู้

รู้เพียงฉันเดินทางมาแล้ว เดินทางมาแสนไกล หนทางหลายหมื่นแสนตัวอักษรนั้น (แม้เทียบไม่ได้เลยกับระยะทางของเธอ) สะท้อนหลายสิ่งหลายอย่างให้ชีวิต ฉันไม่เคยนึกเสียดายวันเวลาอีกเลย ทุกสิ่งทุกอย่างได้บรรจบกันแล้วบนเส้นทางนี้เอง ความฝัน ความหวัง คำชื่นชมยินดี คำตำหนิว่ากล่าว รื่นรมย์เริงร่าหรือประหวั่นพรั่นพรึง กระทั่งที่หมายปลายทางและจุดเริ่ม ทั้งหมดล้วนพบกันตรงนี้ ตรงที่การเดินทางดำเนินอยู่
ตลอดมาฉันย่ำเดินบนเส้นทางผ่านป่าอักษรละลานตา นั่งพักดื่มด่ำมิตรภาพเมื่ออ่อนล้า หยอกยิ้มเย้าหงัวกับสหายแปลกหน้าคนแล้วคนเล่า  มีบ้างสมัครใจย่ำเดินร่วมทางกันสักระยะ จากนั้นต่างแยกไปตามหนทางตน  กอบเก็บความรู้สึกดีใส่ตะกร้าความทรงจำติดตัวไป อาจนำไปยื่นต่อให้คนอื่น ๆ ซึ่งพบพานระหว่างทาง หรือปลูกไว้ข้างทางให้ร่มเงาแก่คนสัญจร 

เราพานพบและพลัดผ่านกันไปคนแล้วคนเล่า

เราอาจเป็นทั้งความทรงจำและถูกลืม ทั้งหมดเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างหน่วยชีวิต ถูกจดจำใช่จะเหมาะสมกับรื่นรมย์ยินดีและถูกลืมก็หาได้ควรค่าแก่โศกาอาดูรไม่ เพราะถึงที่สุดแล้วทุกอย่างล้วนดำรงอยู่ ณ ตำแหน่งหนึ่งเดียวกัน เราล้วนถูกจดจำและถูกลืมในเวลาเดียวกัน

ตลอดเวลาที่ฉันเดินทางมา เส้นทางเป็นพื้นดิน สามารถใช้สองมือสองขาหยัดยันกาย คราใดพลาดสะดุดล้มก็ยังมีปัญญาลุกขึ้นยืนและเดินได้ต่อ

ฉันมาจนสุดทางแล้ว

ตรงหน้าเป็นทะเลอักษรเวิ้งว้าง เต็มด้วยคลื่นลม ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้ในคลั่งคลื่นแห่งความไม่แน่นอน  ฉันก้าวเดินมาจนพบชะง่อนหิน  หากจะไปต่อต้องโจนลงในผืนน้ำเบื้องล่าง หนทางข้างหน้านั้นมืดมน

ฉันจะไปไหน?

จุดหมายปลายทางคือที่ใด?

คำตอบอยู่ตรงนี้แล้ว อยู่ใต้ฝ่าเท้านี่เอง

ตำแหน่งนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดหมายปลายทาง และบัดนี้กำลังเป็นจุดเริ่ม และตำแหน่งนี้เองคือการเดินทาง ความสุขมิใช่ถ้วยแห่งชัยชนะซึ่งวางรออยู่ตรงจุดหมายปลายทาง แต่เป็นลมหายใจเข้าออกระหว่างเดินทาง  ฉันไม่ได้มาจากไหนและไม่ได้ไปไหน ฉันเพียงเดินทางอยู่ในภวังค์

ตะวันลับไปแล้ว รอบข้างมืดมน ยินแต่เสียงคลื่นกระทบผาโครมครืน

ฉันแหงนมองไปในท้องฟ้าอีกครั้ง ระยิบดาวพราวจ้า ไกลออกไปหลายร้อยปีแสง ดวงดาวสีน้ำเงินโคจรห่างออกไป ห่างออกไป สักวันอาจล่องลอยไปไกลจนสุดตา  ไกลจนฉันไม่อาจเรียกร่ำหา..

การเดินทางส่งเสียงเตือนด้วยหวีดหวิวของลมตะวันตก พัดผ่านซอกนิ้วเยียบเย็นกรีดผิว ฉันยกสองฝ่ามือขึ้นแล้วกำไว้แน่น  ก้าวเท้าสุดชะง่อนหิน

สูดหายใจลึกแล้วโจนลงไป!

เกล็ดอากาศปะทะใบหน้าจนชา เสียงลั่นซ่าใกล้เข้ามา ฉันขบฟันแน่นขณะริมฝีปากพะเยิบต้านแรงลม ความสูงนั้นลิบลิ่ว ยาวนานราวชั่วนิรันดร์ มืดมิดราวหลุมดำ

ไม่รู้หนทางข้างหน้าเป็นเยี่ยงไร
ไม่รู้ต้องเผชิญอุปสรรคใด
ไม่รู้จะไปได้ไกลแค่ไหน
ฉันแค่เดินทางและเดินทาง

ไม่แน่..ฉันอาจว่ายไปยังดวงดาวสีน้ำเงินไกลโพ้น แวะสนทนากับเธอสักหลายวรรคคำ แล้วเดินทางต่อไป ไปยังที่ซึ่งจุดเริ่มและจุดหมายมาพบกัน ●


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น