จาก : โลกในมือนักอ่าน
บทความพิเศษ
ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์
สาธารณรัฐกล้วยหอม
ภายหลังการสิ้นสุดของสงครามกลางเมือง เมืองมาคอนโดได้ก้าวเข้าสู่พัฒนาการขั้นที่สาม คือการครอบงำของทุนข้ามชาติ เมื่อมิสเตอร์บราวน์ นายทุนชาวอเมริกันได้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมธุรกิจส่งออกกล้วยหอม ที่เอารัดเอาเปรียบแรงงานคนงานอย่างไร้ยางอาย
เช่น คนงานได้รับค่าแรงเป็นคูปองที่นำไปใช้ซื้อเวอร์จิเนียแฮมของบริษัทได้เท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ซื้อสินค้าทั่วไปในเมืองได้ ระบบสวัสดิการที่ต่ำกว่ามาตรฐาน บริษัทไม่มีสุขาในที่ทำงานให้คนงาน แต่จะแจกกระโถนให้คนงานไว้ใช้ในอัตรา 50 คนต่อกระโถนหนึ่งใบ
หรือแพทย์และพยาบาลจะจ่ายยาเม็ดที่ใช้รักษาโรคครอบจักรวาล ไม่ว่าคนงานป่วยเป็นโรคอะไร ก็จะได้รับแต่ยาเม็ดดังกล่าวเท่านั้น (หน้า 244-246)
ครั้นเมื่อคนงานร้องเรียนขอให้บริษัทปรับปรุงสวัสดิการต่างๆ ให้ดีขึ้น บรรดาทนายต่างออกมาปกป้องบริษัทด้วยลูกไม้ต่างๆ นานาที่ฟังดูเหลือเชื่อ ถึงขนาดออกมาพิสูจน์ว่ามิสเตอร์บราวน์เจ้าของโรงงานไม่มีตัวตนอยู่จริง และคนงานก็ไม่มีอยู่จริง เพราะคนเหล่านี้เป็นเพียงแรงงานรับจ้างชั่วคราว
ผลที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ บรรดาคนงานของบริษัทได้รวมตัวกันชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม รัฐบาลจึงได้ส่งกองกำลังทหารเข้ามาทำการสังหารหมู่คนงานที่ชุมนุมกว่าสามพันคน ขนศพทั้งหมดขึ้นรถไฟนำไปทิ้งทะเล พร้อมกับโหมประโคมปกปิดและบิดเบือนความจริงที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่าคนงานพากันแยกย้ายกันกลับบ้านโดยสงบ
การ์เซีย มาร์เกซ จงใจเสียดสีการบิดเบือนข่าวของรัฐบาลด้วยวิธีการพูดเกินจริง โดยให้รัฐบาลในท้ายที่สุดออกมายืนยันว่าไม่เคยมีการประท้วง หรือการสังหารหมู่ใดๆ ทั้งสิ้น
"ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเมืองมาคอนโด ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หรือจะเกิดขึ้นในเมืองนี้ นี่คือเมืองที่มีแต่ความสงบสุข" (252)
ภายหลังการสังหารหมู่คนงานสามพันคน ฝนได้ตกลงมาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันในเมืองมาคอนโดเป็นเวลานานถึง "สี่ปี สิบเอ็ดเดือน สองวัน" (หน้า 256) ส่งผลให้ทุกอย่างในเมืองมาคอนโดต้องหยุดชะงักไปสิ้น ทุกคนไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ดังเดิม ได้แต่นั่งจับเจ่าอยู่กับบ้าน คอยเช็ดล้างบ้านให้แห้งอยู่ตลอดเวลา วันทุกวันเป็นเสมือนวันเดียวกันหมด
ในที่นี้ การ์เซีย มาร์เกซ ต้องการชี้โดยนัยว่าฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องคือสัญลักษณ์ของกระบวนการชำระล้างความทรงจำของชาวเมืองมาคอนโด ที่ทำควบคู่ไปกับการบิดเบือนข้อเท็จจริงเรื่องการสังหารหมู่
เมื่อฝนหยุดเมืองมาคอนโดที่เคยรุ่งเรืองก็เริ่มเข้าสู่สภาวะตกต่ำ ฝนได้ทำลายธุรกิจทั้งปวงที่เคยดำเนินมา บ้านช่องของผู้คนทรุดโทรมและพังเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซม พ่อค้าและชาวเมืองพากันทยอยอพยพไปตั้งถิ่นฐานในเมืองอื่น ทิ้งให้เมืองมาคอนโดเป็นเสมือนเมืองร้างที่รอวาระสุดท้ายตามคำพยากรณ์
การสร้างเหตุการณ์สังหารหมู่คนงานไร่กล้วยกว่าสามพันคนในนวนิยายเรื่องนี้ให้ดูเป็นเรื่องตลกร้ายที่เหลือเชื่อมีนัยยะทางการเมืองอยู่ไม่น้อย เนื่องจากในประวัติศาสตร์โคลัมเบียในช่วงปลายปี 1928 ได้เกิดกรณีสังหารหมู่คนงานไร่กล้วยของบริษัท United Fruit Company จริง
และในทำนองเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว เหตุการณ์ดังกล่าวถูกปฏิเสธจากรัฐบาลอย่างสิ้นเชิง และไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงกรณีดังกล่าวเพราะกลัวจะถูกกวาดล้างโดยรัฐบาลในขณะนั้น (Williams, 90-91)
ครอบครัวของ โฮเซ อาร์คาดิโอ บูเอนดิยา นั้นมีวงจรชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ไม่ต่างไปจากชะตากรรมของเมืองมาคอนโด นั่นคือเริ่มต้นด้วยการสร้างครอบครัวของต้นตระกูลคือ โฮเซ อาร์คาดิโอ บูเอนดิยา และอูร์ซูลาผู้เป็นภรรยา ในช่วงต้นครอบครัวประสบความสำเร็จมีธุรกิจทำขนมรูปสัตว์ขายจนมีฐานะมั่งคั่ง เป็นศูนย์กลางของชุมชนที่ใครๆ ก็มาอาศัยหรือแวะเวียนมาหา
ตระกูลบูเอนดิยามีบทบาทสำคัญต่อชะตากรรมของเมืองมาคอนโดในทุกเรื่อง การติดต่อโลกภายนอกได้สำเร็จก็เป็นผลมาจากเออร์ซูล่าที่ดั้นด้นตามหาลูกชายที่หนีออกจากบ้าน จนไปพบกับเส้นทางสู่โลกภายนอกโดยบังเอิญ
การไหลบ่าเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตกก็มีที่มาจากตระกูลอีกเช่นกัน เมื่อเออร์ซูล่าสั่งซื้อเปียโนอัตโนมัติมาแสดงโชว์ จึงจำต้องขอให้บริษัทส่ง เพียร์โตร เครสพี ศิลปินจากอิตาลีมาทำหน้าที่เป็นช่างปรับเสียงเปียโน ออเรลิยาโน ทริสเต้ หนึ่งในลูกนอกสมรสของพันเอกออเรลิยาโนเป็นผู้นำรถไฟเข้ามาสู่เมืองมาคอนโด
การเข้าไปพัวพันกับสงครามกลางเมืองก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ออเรลิยาโนพาสมัครพรรคพวกในเมืองจับอาวุธขึ้นสู้กับรัฐบาล แม้แต่อุตสาหกรรมกล้วยหอมที่เป็นเสมือนโรคระบาดในเมืองก็เริ่มต้นที่บ้านของตระกูลบูเอนดิยาอีกเช่นกัน เมื่อมิสเตอร์บราวน์จากสหรัฐอเมริกาแวะมาที่บ้านของอูร์ซูลา ได้ลิ้มรสกล้วยหอมและพบว่ามีรสชาติอร่อยที่สุดในโลก จึงระดมทุนมาทำธุรกิจไร่กล้วยหอมเพื่อการส่งออก
และแน่นอนจุดจบของเมืองมาคอนโดก็เกิดขึ้นพร้อมกับจุดจบของตระกูลบูเอนดิยา เมื่อลมพายุได้พัดเมืองมาคอนโดทั้งเมืองให้หายลับไปจากพื้นพิภพในทันทีที่ ออเรลิยาโน บาบิโลเนีย ไขปริศนาอ่านข้อความบรรทัดสุดท้ายของหนังสือที่ยิปซีมาเคียเดสทิ้งไว้ให้กับตระกูล
เอกสารอ้างอิง
มาร์เกซ, กาเบรียล การ์เซีย. หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว. แปลโดย ปณิธาน-ร. จันเสน. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์วลี, 2529.
บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง "สัจนิยมมหัศจรรย์ การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ และสุนทรียศาสตร์ของการต่อต้าน" โดยได้รับการสนับสนุนจากภาควิชาภาษาและวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทความพิเศษ
ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์
สาธารณรัฐกล้วยหอม
ภายหลังการสิ้นสุดของสงครามกลางเมือง เมืองมาคอนโดได้ก้าวเข้าสู่พัฒนาการขั้นที่สาม คือการครอบงำของทุนข้ามชาติ เมื่อมิสเตอร์บราวน์ นายทุนชาวอเมริกันได้เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมธุรกิจส่งออกกล้วยหอม ที่เอารัดเอาเปรียบแรงงานคนงานอย่างไร้ยางอาย
เช่น คนงานได้รับค่าแรงเป็นคูปองที่นำไปใช้ซื้อเวอร์จิเนียแฮมของบริษัทได้เท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้ซื้อสินค้าทั่วไปในเมืองได้ ระบบสวัสดิการที่ต่ำกว่ามาตรฐาน บริษัทไม่มีสุขาในที่ทำงานให้คนงาน แต่จะแจกกระโถนให้คนงานไว้ใช้ในอัตรา 50 คนต่อกระโถนหนึ่งใบ
หรือแพทย์และพยาบาลจะจ่ายยาเม็ดที่ใช้รักษาโรคครอบจักรวาล ไม่ว่าคนงานป่วยเป็นโรคอะไร ก็จะได้รับแต่ยาเม็ดดังกล่าวเท่านั้น (หน้า 244-246)
ครั้นเมื่อคนงานร้องเรียนขอให้บริษัทปรับปรุงสวัสดิการต่างๆ ให้ดีขึ้น บรรดาทนายต่างออกมาปกป้องบริษัทด้วยลูกไม้ต่างๆ นานาที่ฟังดูเหลือเชื่อ ถึงขนาดออกมาพิสูจน์ว่ามิสเตอร์บราวน์เจ้าของโรงงานไม่มีตัวตนอยู่จริง และคนงานก็ไม่มีอยู่จริง เพราะคนเหล่านี้เป็นเพียงแรงงานรับจ้างชั่วคราว
ผลที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ บรรดาคนงานของบริษัทได้รวมตัวกันชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม รัฐบาลจึงได้ส่งกองกำลังทหารเข้ามาทำการสังหารหมู่คนงานที่ชุมนุมกว่าสามพันคน ขนศพทั้งหมดขึ้นรถไฟนำไปทิ้งทะเล พร้อมกับโหมประโคมปกปิดและบิดเบือนความจริงที่เกิดขึ้น โดยยืนยันว่าคนงานพากันแยกย้ายกันกลับบ้านโดยสงบ
การ์เซีย มาร์เกซ จงใจเสียดสีการบิดเบือนข่าวของรัฐบาลด้วยวิธีการพูดเกินจริง โดยให้รัฐบาลในท้ายที่สุดออกมายืนยันว่าไม่เคยมีการประท้วง หรือการสังหารหมู่ใดๆ ทั้งสิ้น
"ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเมืองมาคอนโด ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หรือจะเกิดขึ้นในเมืองนี้ นี่คือเมืองที่มีแต่ความสงบสุข" (252)
ภายหลังการสังหารหมู่คนงานสามพันคน ฝนได้ตกลงมาอย่างต่อเนื่องติดต่อกันในเมืองมาคอนโดเป็นเวลานานถึง "สี่ปี สิบเอ็ดเดือน สองวัน" (หน้า 256) ส่งผลให้ทุกอย่างในเมืองมาคอนโดต้องหยุดชะงักไปสิ้น ทุกคนไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ดังเดิม ได้แต่นั่งจับเจ่าอยู่กับบ้าน คอยเช็ดล้างบ้านให้แห้งอยู่ตลอดเวลา วันทุกวันเป็นเสมือนวันเดียวกันหมด
ในที่นี้ การ์เซีย มาร์เกซ ต้องการชี้โดยนัยว่าฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องคือสัญลักษณ์ของกระบวนการชำระล้างความทรงจำของชาวเมืองมาคอนโด ที่ทำควบคู่ไปกับการบิดเบือนข้อเท็จจริงเรื่องการสังหารหมู่
เมื่อฝนหยุดเมืองมาคอนโดที่เคยรุ่งเรืองก็เริ่มเข้าสู่สภาวะตกต่ำ ฝนได้ทำลายธุรกิจทั้งปวงที่เคยดำเนินมา บ้านช่องของผู้คนทรุดโทรมและพังเสียหายเกินกว่าจะซ่อมแซม พ่อค้าและชาวเมืองพากันทยอยอพยพไปตั้งถิ่นฐานในเมืองอื่น ทิ้งให้เมืองมาคอนโดเป็นเสมือนเมืองร้างที่รอวาระสุดท้ายตามคำพยากรณ์
การสร้างเหตุการณ์สังหารหมู่คนงานไร่กล้วยกว่าสามพันคนในนวนิยายเรื่องนี้ให้ดูเป็นเรื่องตลกร้ายที่เหลือเชื่อมีนัยยะทางการเมืองอยู่ไม่น้อย เนื่องจากในประวัติศาสตร์โคลัมเบียในช่วงปลายปี 1928 ได้เกิดกรณีสังหารหมู่คนงานไร่กล้วยของบริษัท United Fruit Company จริง
และในทำนองเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นใน หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว เหตุการณ์ดังกล่าวถูกปฏิเสธจากรัฐบาลอย่างสิ้นเชิง และไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงกรณีดังกล่าวเพราะกลัวจะถูกกวาดล้างโดยรัฐบาลในขณะนั้น (Williams, 90-91)
ครอบครัวของ โฮเซ อาร์คาดิโอ บูเอนดิยา นั้นมีวงจรชีวิตที่ขึ้นๆ ลงๆ ไม่ต่างไปจากชะตากรรมของเมืองมาคอนโด นั่นคือเริ่มต้นด้วยการสร้างครอบครัวของต้นตระกูลคือ โฮเซ อาร์คาดิโอ บูเอนดิยา และอูร์ซูลาผู้เป็นภรรยา ในช่วงต้นครอบครัวประสบความสำเร็จมีธุรกิจทำขนมรูปสัตว์ขายจนมีฐานะมั่งคั่ง เป็นศูนย์กลางของชุมชนที่ใครๆ ก็มาอาศัยหรือแวะเวียนมาหา
ตระกูลบูเอนดิยามีบทบาทสำคัญต่อชะตากรรมของเมืองมาคอนโดในทุกเรื่อง การติดต่อโลกภายนอกได้สำเร็จก็เป็นผลมาจากเออร์ซูล่าที่ดั้นด้นตามหาลูกชายที่หนีออกจากบ้าน จนไปพบกับเส้นทางสู่โลกภายนอกโดยบังเอิญ
การไหลบ่าเข้ามาของวัฒนธรรมตะวันตกก็มีที่มาจากตระกูลอีกเช่นกัน เมื่อเออร์ซูล่าสั่งซื้อเปียโนอัตโนมัติมาแสดงโชว์ จึงจำต้องขอให้บริษัทส่ง เพียร์โตร เครสพี ศิลปินจากอิตาลีมาทำหน้าที่เป็นช่างปรับเสียงเปียโน ออเรลิยาโน ทริสเต้ หนึ่งในลูกนอกสมรสของพันเอกออเรลิยาโนเป็นผู้นำรถไฟเข้ามาสู่เมืองมาคอนโด
การเข้าไปพัวพันกับสงครามกลางเมืองก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ออเรลิยาโนพาสมัครพรรคพวกในเมืองจับอาวุธขึ้นสู้กับรัฐบาล แม้แต่อุตสาหกรรมกล้วยหอมที่เป็นเสมือนโรคระบาดในเมืองก็เริ่มต้นที่บ้านของตระกูลบูเอนดิยาอีกเช่นกัน เมื่อมิสเตอร์บราวน์จากสหรัฐอเมริกาแวะมาที่บ้านของอูร์ซูลา ได้ลิ้มรสกล้วยหอมและพบว่ามีรสชาติอร่อยที่สุดในโลก จึงระดมทุนมาทำธุรกิจไร่กล้วยหอมเพื่อการส่งออก
และแน่นอนจุดจบของเมืองมาคอนโดก็เกิดขึ้นพร้อมกับจุดจบของตระกูลบูเอนดิยา เมื่อลมพายุได้พัดเมืองมาคอนโดทั้งเมืองให้หายลับไปจากพื้นพิภพในทันทีที่ ออเรลิยาโน บาบิโลเนีย ไขปริศนาอ่านข้อความบรรทัดสุดท้ายของหนังสือที่ยิปซีมาเคียเดสทิ้งไว้ให้กับตระกูล
เอกสารอ้างอิง
มาร์เกซ, กาเบรียล การ์เซีย. หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว. แปลโดย ปณิธาน-ร. จันเสน. กรุงเทพ : สำนักพิมพ์วลี, 2529.
บทความชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง "สัจนิยมมหัศจรรย์ การเมืองเรื่องอัตลักษณ์ และสุนทรียศาสตร์ของการต่อต้าน" โดยได้รับการสนับสนุนจากภาควิชาภาษาและวรรณคดีอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
Tags: Books
, Editor's Picks
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น