เด็กหญิงผมทรงนักเรียนตัดสั้นปลายติ่งหู (เธออาจโกงคุณครูสมศรีนิดหน่อยโดยปล่อยให้ยาวเลยติ่งหูแบบตะแคงคอเล็กน้อยก็จะพอดี) ตัดหน้าม้าเรียบยกสูงเปิดหน้าผากเสียกว้าง นุ่งผ้าถุงลายดอกกระโจมอก มือถือขันกับแปรงสีฟัน จะอาบน้ำสิท่า ข้าพเจ้าคิด
เธอขยิบตา
ข้าพเจ้าชะงักเท้าเหลียวมอง
คางกลมมน รอยยิ้มเล็ก ๆ มุมปาก ใบหน้าบ๊องแบ๊วทำเอาข้าพเจ้าอมยิ้ม เสมองบ้านของเธอ
ประตูบานพับเปิดกว้าง รองเท้าแตะวางชิดหน้าชานชี้หัวรองเท้าเข้าภายในคล้ายเชิญชวน ซ้ายมือ กระดานดำตัวอักษรลายมือแจ้งราคาสินค้า ด้านขวา ตะกร้าหวายมีพับเสื้อยืด โปสการ์ด จิปาถะ กล่องไม้ยกขาแกะลายวางกลางบ้านแทนโต๊ะ มีตั้งหนังสือวางซ้อน ป้ายกระดาษบอกว่าเป็นสานแสงทองฉบับใหม่ ฝาบ้านประดับประดาด้วยภาพเขียนสีน้ำมันนวลนุ่ม ภาพถ่ายจากดวงตาที่เลนส์กล้องกลายเป็นเรตินาชัตเตอร์กลายเปลือกตา เสื้อยืดสกรีนลายสดใสขดม้วนอยู่ในช่องตะแกรงกินเนื้อที่จากพื้นกระดานขัดมันถึงเกือบกลางฝา ผนังด้านในมีชั้นกระดานแผ่นหนา ยาวถึงเหนือขอบประตู ประดิษฐานพระพุทธรูป องค์เทพฮินดู รวมถึงพระพิฆเณศ
หน้ากรอบประตูมีโต๊ะตัวเล็ก วางกองกระดาษรอวาด ถ้วยพู่กันจานสี
หญิงสาวผมหยัก ใบหน้าขาว เสื้อลูกไม้ขาว กำลังพัลวันกับความซุกซนของเจ้าสุนัขพันธุ์ทางขนน้ำตาลปุย
คงเป็นคุณแม่ของเจ้าหนูนี่ ข้าพเจ้าคิด ส่งยิ้มขยับเท้าออกจากแตะ เธอคงง่วนอยู่กับสุนัขเลยไม่ทันมอง เหลือบเล็งตั้งหนังสือสานแสงทองบนโต๊ะไม้ มีเจ้าเต่าผ้าตัวน้อยยืนกันท่าอยู่บนอีกตั้งเตี้ยกว่า
ถอดเท้าจากแตะก้าวเข้าภายใน
เสียงจอแจด้านนอกเงียบหาย ผนังไม้ ภาพสีน้ำมัน เสื้อผ้าลูกไม้ตัดเย็บเอง สรรพสัตว์ผ้าตัวเล็ก ๆ ข้าวของเครื่องใช้เคยพบเห็นครั้งวัยเยาว์ แสงไฟนวลตา คล้ายฉุดข้าพเจ้าหลุดไปอีกมิติ
'นี่เอง..บรรยากาศน่าเขียนหนังสือ' ความรู้สึกแรกสัมผัสผุดขึ้นมา
ไม่ทราบบทสนทนาเริ่มด้วยประโยคใด คล้ายหยดสีน้ำบนกระดาษสาซึมซับหากันจนแนบเนื้อเดียวจากข้นเข้มถึงอ่อนจางไล่โทนไร้รอยเชื่อมต่อ
"มีบ้างที่แกว่ง" เธอบอกพร้อมรอยยิ้มและแววตาใสสะท้อนความรู้สึกของคนที่ตัดสินใจละทิ้งชีวิตเมืองและงานประจำซึ่งเคยแลกเปลี่ยนเวลาเป็นตัวเลขในบัญชี มาเขียนหนังสือ ทำหนังสือท้องถิ่นและร้านกาแฟเล็ก ๆ เมื่อครั้งอัมพวายังไม่เป็นที่รู้จักมากมายเหมือนทุกวันนี้ "แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็ทดแทน สุขได้อยู่ได้ทำสิ่งที่รัก สภาพแวดล้อม เวลาของตัวเอง พอดีแฟนใช้ชีวิตอย่างนี้มาตั้งแต่เรียนจบ เค้าพิสูจน์ให้เห็นว่าอยู่ได้"
ประกายตาเธอฉายวาวอย่างที่กล่าว
ข้าพเจ้าย่อเข่าลงกับพื้นหยิบสานแสงทองพลิกดู บทสัมภาษณ์ในเล่ม ชายสวมแว่นวัยกลางคนกำลังตอบคำถามเหตุที่ย้ายตัวเองกลับบ้านเกิด ใช้ชีวิตอยู่กับร้านหนังสือริมฝั่งน้ำสะแกกรัง
ลูกค้าแวะเข้ามาซื้อเสื้อยืด บทสนทนาขาดห้วงเป็นพัก ๆ รอยยิ้มของเธอช่วยให้ข้าพเจ้าปลอบใจตนว่าไม่ได้อยู่เกะกะรบกวนช่วงเวลาค้าขาย ยกเจ้าเต่าน้อยขึ้น วางสานแสงทองกลับเข้ากอง วางเจ้าเต่าผ้าเฝ้ากองหนังสืออย่างเดิม
เงาไม้ขัดมันสะท้อนภาพกาน้ำชาเคลือบ กระป๋องลูกอมฮอลล์ ในเงาสะท้อนนั่น ภาพเด็กน้อยผมเกรียนนั่งแงะฝากระป๋อง พยายามใช้ปลายนิ้วงัดจนเจ็บ ฝากระป๋องยังติดแน่น หันรีหันขวาง หยิบตะปูทิ่มปลายตรงรอยประกบ ฝากระป๋องแนบสนิทจนปลายตะปูเสียบไม่เข้า เด็กน้อยผมเกรียนงัดแล้วงัดอีก เสียงดังป๊อง ๆ ๆ ทุกครั้งตะปูหลุดวืด ฝากระป๋องยังแน่นสนิทเหมือนเดิม ที่สุดลุกเดินไปหลังบ้านหาไม้มาตอกตะปูเข้าในร่องฝา คราวนี้ได้ผล ปลายตะปูเปิดช่องว่างระหว่างฝากับกระป๋อง แต่ต้องงั้ดอีกหลายครั้งกว่าจะหลุดออกมา วางฝากระป๋องแนบพื้น กะให้ได้กลางฝา ตอกตะปูเจาะรู แหย่เชือกยาวเข้าไป ผูกปลายเชือกไว้กับไม้ชิ้นเล็ก ได้ของเล่นใหม่อีกชิ้นสำหรับวิ่งเล่น ฉวยเชือกไว้แล้วกลิ้งให้ฝากระป๋องวิ่งไปด้วยกัน
ทุ่งฝันของเรากว้างใหญ่สักแค่ไหน
ต้องใช้เวลากี่สิบปีจึงจะวิ่งเล่นให้ทั่ว ทำความเข้าใจ ทำความรู้จักทุกซอกมุม ไม้ทุกต้น ดอกหญ้าทุกดอก กระทั่งเมฆทุกปุย ต้องเสาะค้นนานแค่ไหนจึงจะพบใครอีกคนที่ซึมซับหากันโดยไม่ทิ้งคราบรอยไว้บนผิวกระดาษสา
ชุมทางทุ่งนา กาแฟริมฝั่งน้ำอัมพวานี้คงเป็นโลกฝันของหญิงสาวคนหนึ่ง เธอพบทุ่งฝันของเธอแล้วที่นี่ และกำลังแบ่งปันความฝันสู่อีกหลายร้อยดวงใจที่ยังตระเวนอยู่ในทุ่งฝันตน ด้วยงานผ้าลูกไม้ เสื้อยืดสกรีน กรุ่นกลิ่นกาแฟบด และเจ้าหนูน้อยกระโจมอกเตรียมอาบน้ำแปรงฟันไปโรงเรียน
ภายในนั้นอวลอุ่นกรุ่นกลิ่นกาแฟ มองออกภายนอก แสงจัดจ้าพยายามแผดเข้ามาแต่ก็ถูกกักกั้นไว้ด้วยชั้นวาง เจ้าควายไม้ติดล้อตัวน้อย แผ่นภาพโปสการ์ดและม้วนเสื้อยืด ธารผู้คนเชี่ยวกระโชกไหลไป-มาไม่ขาดสาย เมื่อนั่งลงแล้วแทบไม่อยากกลับออกไป จะอย่างไร ตรงนี้หาใช่ทุ่งฝันของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังต้องกลับออกไป
"ไม่ต้องใส่ถุงครับ"
บอกก่อนเอ่ยลา จูงมือเด็กหญิงผมม้าออกจากร้าน ออกไปสู่ทุ่งฝันของตนเอง..คงอยู่ที่ไหน..สักที่ อดไม่ได้เหลือบมองแผ่นโปสการ์ดอีกครั้ง
เจ้าหนูขยิบตา ●
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น