ากอุปนิษัทสู่วัตรปฏิบัติ
ชำเลืองแลอัตตา แววตาละห้อย
ขณะเกลียวคลื่นอนัตตาทยอย
โถมทำลายชายฝั่งแห่งนิพพาน ทีล่ะน้อย ทีล่ะน้อย
ความดับสนิทแห่งตัณหา
เวี่ยฟ้าแขวนหมู่เมฆเศร้าสร้อย
โลกียธรรมกระจะกระจ่างค่อยค่อยคล้อย
กับแสงตะวันลอยลัดโพยม
ท่ามเพลิงกาลกำดัดวัฏสงสาร
คุควันอาตมันโจมโถม
แสงหวังพริบพลอยคอยประโลม
แสวงหาโมษธรรมอยู่ใต้กระโจมใจ
แยกต่างและเป็นหนึ่งเดียว
ธารอวิชชาลดเลี้ยวกลางไพรใหญ่
ภูมิทัศน์ขมุกขมัวนั้นหลัวใจ
ไหลลัดสูญลับไปยัง เส้นขอบฟ้า
ฝนลัทธิ ปรัชญา ศาสนาพรูสาย
หนาวสั่นสะท้านกายนั้นกรูกล้า
เหลืออีกแค่น้อยนิดนะเวลา
ฤๅชั่วชีวิตมิพอมาปฎิเวธ
จากห้าร้อยปีก่อนพุทธกาล
ยังพานหาปรมาตมันกันไม่เสร็จ
พิงเชิงตะกอนนั่งลงปลงสังเวช
อาสนะแห่งจริงเท็จลอยเกลื่อนกอง
เบื้องโน้น พระสมณะโคดมบรรลุโพธิญาณ
แสงพระธรรมฉายฉานสะท้อนคันฉ่อง
แห่งวิมุตตาลัยเรืองรอง
อสูร-เทวดาซ้องสาธุการ
เบื้องนี้ อลัชชีบรรลุโลกุตรธนธรรม
เสียงบริกรรมคาถาตัญหาพล่าน
พระพุทธองค์ทรงสละทุกประการ
สังฆะบริวารสะสมทุน
โลกยังหมุนรอบตัวเอง
พาอจินไตยกระเตงกลิ้งหลุนหลุน
กลางอวากาศเวิ้งว้าง ละอองปฏิกูล
สถานีบุญลำใหญ่ ลอยล่อง
และหลุมดำไม่พอจะบรรจุ
สาธุชนผู้บรรลุภูมิธรรมผ่อง
อีกฟากของรูหนอนเสียงหอนร้อง
ของโมกษะ หาใครมองหรือได้ยิน
จนพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
พุทธศาสนาก็แตกซ่านสลายสิ้น
กลายลัทธิ อิทัปปัจจยตา อาจินต์
กลายกรวด หิน ดิน ลม น้ำ ไฟ

จากอุปนิษัทสู่วัตรปฏิบัติ
สารส่งต่อยังตระบัตรกระหวัดไหว
นิ่งในไม่นิ่ง สิ่งสร้าง บอกบางนัย
ธารน้ำนมไหลไป สู่ดวงดาวฯ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น